วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แนวทางพัฒนาการปฏิบัติการทางทหารร่วมกับอาเซียนในภารกิจการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและ การบรรเทาภัยพิบัติ (HA/DR) ของกองทัพไทย


โดย นาวาเอก พิสุทธิ์ศักดิ์  ศรีชุมพล ตำแหน่ง รอง ผอ.กคฝ.สวฝ.ยก.ทหาร  

      สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations หรือASEAN)ก่อตั้งขึ้นตามปฏิญญากรุงเทพ (The Bangkok Declaration) เมื่อ ๘ ส..๒๕๑๐ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ ในปี ๕๘ อาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศจะรวมกลุ่มกันเป็นประชาคม (ASEAN Community) ตามคำขวัญของอาเซียนในกฎบัตรสมาคมแห่งประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ "วิสัยทัศน์เดียว อัตลักษณ์เดียว ประชาคมเดียว”(One Vision, One Identity, One Community)  โดยได้กำหนดเสาหลัก(Pillar) คือ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมวัฒนธรรมอาเซียน ทั้งนี้กองทัพไทยได้รับผิดชอบเรื่องความร่วมมือในเสาหลักประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน

                    
              ภาพการประชุม ADMM-Plus เมื่อ ๒๙ ส..๕๖

สภาวะแวดล้อมความมั่นคงที่ส่งผลกระทบต่อเสาหลักประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ได้แก่
๑. กำลังอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) แล้วจะพบว่าภูมิภาคอาเซียนตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์โลกเป็นที่รวมผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจของโลกอันได้แก่สหรัฐและชาติพันธมิตรที่พยายามรักษาอิทธิพล/ผลประโยชน์และบทบาทนำในเวทีการเมืองระหว่างประเทศต่อจีน รัสเซียและกลุ่มประเทศตะวันออกกลางรวมทั้งพยายามกำจัดกลุ่มก่อการร้ายที่มองสหรัฐและพันธมิตร คือเป้าหมายในการทำลาย สำหรับอาเซียนแล้วต้องคงปรับนโยบายการเมืองระหว่างประเทศให้สมดุลทั้งสหรัฐและจีนโดยใช้กลไกความร่วมมือประชาคมอาเซียนในการแก้ปัญหาและสร้างอำนาจต่อรองกับประเทศมหาอำนาจ เช่น การประชุม รมว.กห.อาเซียนกับคู่เจรจารวมทั้งต้องวางมาตรการป้องกันไม่ให้เครือข่ายก่อการร้ายเข้ามาใช้พื้นที่ในประเทศเพื่อทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐและพันธมิตรในประเทศตนซึ่งจะเป็นการทำให้ถูกกดดันจากสหรัฐและเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในการเมืองระหว่างประเทศ
๒. ปัญหาความมั่นคงภายในระหว่างประเทศในอาเซียน ได้แก่ ปัญหาการขัดแย้งในเรื่องพรมแดนระหว่างประเทศ ปัญหาทะเลจีนใต้ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นหลังการรวมกลุ่มประชาคมอาเซียน เช่น ปัญหาแรงงานอพยพ การค้ามนุษย์ ปัญหาชนกลุ่มน้อย ปัญหาก่อการร้าย ซึ่งปัญหาเหล่านี้กระทบไม่เฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้นแต่ยังมีผลต่อความมั่นคงภายในของประเทศที่มีอาณาเขตติดกันอีกด้วยซึ่งจำเป็นที่ทุกชาติควรต้องร่วมมือกันจัดการปัญหาข้ามพรมแดนเหล่านี้ เช่น การสร้างความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาคระหว่างกัมพูชา ลาว พม่า และไทย ในกรอบความริเริ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Initiative :LMI )
    . ปัญหาภัยพิบัติของอาเซียน รายงานสถานการณภัยพิบัติประจําปีที่จัดทําโดยโครงการ International Strategy for Disaster Reduction ขององค์การสหประชาชาติ ระบุว่าทวีปเอเชียเป็นภูมิภาคที่มีประชากรได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติมากที่สุดโดยเฉพาะภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สึนามิในไทยและอินโดนีเซียเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๗ พายุไซโคลนนาร์กิสในพม่า มหาอุทกภัยในประเทศไทยเมื่อปี ๕๔ และพายุไห่เหยียนในฟิลิปปินส์ปี ๕๖ ซึ่งจากสภาวะโลกร้อนได้ทำให้ภัยพิบัติมีความรุนแรงและความถี่การเกิดมากขึ้นอีกทั้งการขยายตัวของประชากรและการเติบโตของเมืองในอาเซียนมีการขยายพื้นที่การตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยและพื้นที่อุตสาหกรรมเข้าไปในเขตพื้นที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติทำให้แนวโน้มความสูญเสียและการรับมือกับภัยพิบัติของอาเซียนมีความซับซ้อนและรุนแรงมากยิ่งขึ้นตามไปด้วยซึ่งภัยพิบัติจะสร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สิน ระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมคิดเป็นมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุถึงเป้าหมายการพัฒนาประเทศที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมืองดีขึ้น นอกจากนี้ หากการจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของประชาชนได้แล้ว เสถียรภาพและความมั่นคงของรัฐบาลย่อมถูกกระทบกระเทือนไปด้วย


ข้อมูลจาก The Humanitarian Practice Network (HPN) http://www.odihpn.org
      
    สำหรับภัยคุกคามจากภัยพิบัติธรรมชาติซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และมีแนวโน้มการเกิด สูงขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามร่วมกันของประชาคมอาเซียนหรือ Common Threat นั้น ถือได้ว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกับภัยความมั่นคงอื่นๆของอาเซียนอีกทั้งการที่อาเซียนร่วมมือกันในการจัดการภัยพิบัติจะสามารถสร้างสภาวะความไว้เนื้อเชื่อใจกันในระหว่างชาติอาเซียนซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาการแข่งขันกันซื้ออาวุธทางการทหาร(Armed Race)ตามแนวคิด Balancing Power ได้และยังจะนำไปสู่การรวมกันเป็นกองกำลังอาเซียนเพื่อใช้ในการต่อรองและแก้ปัญหาจากอิทธิพลชาติมหาอำนาจและภัยคุกคามรูปแบบใหม่ๆที่เกิดจากการรวมกลุ่มเศรษฐกิจของอาเซียนได้เช่นกัน และในโอกาสที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้๑๐ประเทศรวมกลุ่มกันเป็นประชาคมอาเซียน(ASEANCommunity)ในปี ๕๘ เพื่อการส่งเสริมสันติภาพสันติสุขและความมั่นคงในภูมิภาคความตระหนักถึงผลกระทบของภัยพิบัติขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้ของประชาคมอาเซียนนำไปสู่ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ลงนามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน(ASEAN Agreement on Disaster Management and Emergency Response, AADMER) เมื่อ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๘ ซึ่ง AADMER เป็นกฎหมายระหว่างประเทศฉบับแรกและฉบับเดียวในโลกที่มีผลผูกพันประเทศที่เป็นภาคีเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมโดยมีศูนย์ประสานงานการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของอาเซียนหรือAHACentreทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานกลางในการให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศสมาชิกเมื่อเกิดภัยพิบัติขนาดใหญ่ขึ้นและเอกสารมาตรฐานวิธีการปฏิบัติและระบบเตรียมความพร้อมด้านการประสานงานการบรรเทาทุกข์และการตอบโต้สถานการณ์ภัยพิบัติฉุกเฉินของอาเซียนหรือSASOP(Standard Operating Procedure for Regional Standby Arrangements and Coordination of Joint Disaster Relief and Emergency Response Operations) เป็นแนวทางปฏิบัติ

        แนวทางการปฏิบัติของชาติสมาชิกเมื่อเกิดภัยพิบัติ

ความร่วมมือทางทหารในการจัดการภัยพิบัติของอาเซียน
 สำหรับความร่วมมือทางทหารของอาเซียนด้านการบรรเทาภัยพิบัติ ถือว่ามีความสำคัญโดยเป็นหัวข้อหลักในกรอบความร่วมมือกันด้านการเมืองและความมั่นคงอาเซียน(ASEAN Political-Security Community)ซึ่งได้บรรจุไว้ในเวทีการประชุมรัฐมนตรี

การฝึกของกองทัพไทยในภารกิจด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (HA/DR)
      เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการเตรียมความพร้อมทั้งองค์วัตถุและองค์บุคคลของกองทัพไทยในการสนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยและจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลและภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงทั้งระดับอาเซียนและความร่วมมือกับนานาชาติ สำนักวางแผนการฝึกร่วมและผสม กรมยุทธการทหาร ซึ่งเป็นหน่วยหลักในระดับนโยบายด้านการฝึกของกองทัพไทย จึงได้นำแผนบรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทย ระเบียบปฏิบัติ และหลักปฏิบัติประจำ (SOP) ภายใต้กรอบความร่วมมือทั้งในและต่างประเทศ นำมาใช้ในการจัดการฝึกและการเข้าร่วมการฝึกการบรรเทาสาธารณภัยและจัดการภัยพิบัติทั้งในและนอกประเทศซึ่งเป็นการเสริมสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจประสบการณ์และเตรียมความพร้อมของกำลังพล เครื่องมือและยุทโธปกรณ์ทางทหารที่ใช้ในการบรรเทาสาธารณภัยอันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันกับภาคพลเรือน รัฐบาล มูลนิธิ องค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องซึ่งจะเป็นการลดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหากเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงเกิดขึ้นจริงดังจะเห็นได้จากการพัฒนาและยกระดับการฝึกร่วมบรรเทาสาธารณภัยของกองทัพอาเซียนจากระดับทวิภาคีเป็นพหุภาคีโดยการฝึกเป็นการทบทวนขั้นตอน/วิธีการปฏิบัติในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติของอาเซียนและมิตรประเทศ การทดสอบการใช้ขีดความสามารถทางทหารในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติภายใต้กรอบความตกลงอาเซียนด้านจัดการภัยพิบัติและตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ AADMER การบูรณาการทรัพยากรและเครื่องมือที่มีอยู่ให้สามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยมี กองทัพไทย ส่วนราชการ พลเรือน ภาคประชาสังคม ชาติในอาเซียน มิตรประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ ได้แก่ UNOCHA , AHA Center , IFRC เข้าร่วมการฝึก เช่น  การฝึกซ้อมการบรรเทาภัยพิบัติ ในกรอบการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในปี๕๖ (2013 ASEAN Regional Forum Disaster Relief Exercise :ARF DiRex) จ.เพชรบุรี การฝึกด้านมนุษยธรรมและบรรเทาสาธารณภัยของอาเซียน ปี ๕๗ (ASEAN  HADR Multilateral Exercise )  ฉะเชิงเทรา และการฝึกทางทหารอาเซียนด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติของอาเซียนและการฝึกแพทรีกลาโหมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา(ASEAN Defense Ministers Meeting: ADMM – Plus) โดยล่าสุดได้มีการให้ความเห็นชอบการเป็นประธานร่วมของคณะทำงาน ADMM – Plus ในวงรอบปี ๒๕๕๗ ๒๕๕๙ ดังนี้ ๑) ความมั่นคงทางทะเล (บรูไน, นิวซีแลนด์) ๒) การแพทย์ทางทหาร (ไทย, สหพันธรัฐรัสเซีย) ๓) การปฏิบัติการรักษาสันติภาพ (กัมพูชา, สาธารณรัฐเกาหลี) ๔) การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว,ญี่ปุ่น)๕)การต่อต้านการก่อการร้าย(สิงคโปร์,ออสเตรเลีย) และ ๖) ด้านการปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม, สาธารณรัฐอินเดีย)ซึ่งจากแนวโน้มจากความรุนแรงและผลกระทบของปัญหาภัยพิบัติที่ทุกชาติในอาเซียนเผชิญอยู่ในปัจจุบันได้ทำให้กองทัพของประเทศสมาชิกอาเซียนต้องปรับบทบาทจากการเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการพิทักษ์รักษาอำนาจอธิปไตยมาสู่ความเป็นองค์กรสนับสนุนในการพิทักษ์รักษาชีวิต/ทรัพย์สินของประชาชนจากภัยธรรมชาติด้วยย์ทหาร(ASEAN Defense Ministers’ Meeting-Plus Humanitarian Assistance & Disaster Relief and Military Medicine Exercise (ADMM-PLUS HADR & MM EX) ณ ประเทศบรูไน ทั้งนี้เป็นการเตรียมความพร้อมของกองทัพชาติสมาชิกอาเซียนในการบรรเทาภัยพิบัติร่วมกันเมื่อเกิดสถานการณ์จริงซึ่งจะพัฒนาไปสู่การรวมกลุ่มเป็นกองกำลังอาเซียนด้าน HA/DR ในอนาคต



ภาพการฝึก ASEAN Defense Ministers’ Meeting-Plus Humanitarian Assistance & Disaster Relief, Military Medicine Exercise (ADMM+ HADR & MM EX) or 2nd AHX Exercise ปี ๕๖ ณ ประเทศบรูไน

การเพิ่มบทบาทของกองทัพไทยในการปฏิบัติการร่วมนานาชาติเรื่อง HA/DR
    กองทัพไทยส่งกำลังทางทหารในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติร่วมกับทหารมิตรประเทศและประเทศในอาเซียนเมื่อได้รับการร้องขอจากรัฐบาล มี  ๓ กรณีได้แก่
๑.ภัยพิบัติเกิดขึ้นในประเทศไทย ในระดับ ๓-๔ ในกรณีที่รัฐบาลไทยตอบรับการให้ความช่วยเหลือของประเทศอาเซียน ชาติพันธมิตร สหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศตามพันธกรณีและข้อตกลง
๒. ภัยพิบัติเกิดขึ้นในประเทศภูมิภาคอาเซียนโดยปฏิบัติตามข้อตกลง ADMEER
๓.    ภัยพิบัติเกิดขึ้นในภูมิภาคอื่นและรัฐบาลสั่งการเช่นกรณีภารกิจด้านมนุษยธรรมในอิหร่าน
  แนวทางการสร้างความร่วมมือทางทหารเพื่อนำไปสู่การเป็น HA/DR ASEAN Combined Task Force[1] นั้น มีแนวคิดเริ่มจากการพัฒนาความร่วมมือและเสริมสร้างความสัมพันธ์เพื่อลดความหวาดระแวงระหว่างกันในกลุ่มประชาคมอาเซียนก่อนโดยเริ่มจากการแลกเปลี่ยนการศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกัน การฝึกร่วม/ผสมทางทหารของกลุ่มประเทศอาเซียนไปจนถึงการปฏิบัติการทางทหารของชาติอาเซียนร่วมกันในพื้นที่เขตแดนของประเทศตนหรือพื้นที่รับผิดชอบ เช่น การลาดตระเวนร่วมทางทะเล/ชายแดน การปฏิบัติการรักษาสันติภาพ อันจะนำมาซึ่งความไว้วางใจกันจนเพิ่มระดับความร่วมมือจนนำไปสู่การจัดทำข้อตกลงความร่วมมือทางทหารในกลุ่มประชาคมอาเซียนเพื่อการจัดตั้งกำลังเฉพาะกิจอาเซียนซึ่งควรจะเริ่มจากด้านHA/DRก่อนเนื่องจากเป็นภัยคุกคามร่วม (Common Threat) ของทุกประเทศและเพื่อการลดความหวาดระแวงระหว่างกันจนพัฒนาไปสู่กองกำลังเฉพาะกิจอาเซียนในการไปปฏิบัติภารกิจในด้านมนุษยธรรมการบรรเทาภัยพิบัติและการรักษาผลประโยชน์ของประชาคมอาเซียนเพื่อเพิ่มบทบาทการเมืองระหว่างประเทศของอาเซียนในเวทีโลกในอนาคต

                                               ASEAN Combined Task Force                                                                                 ASEAN Combined Task Force                                 

ภาพการสร้างความร่วมมือทางทหารเพื่อพัฒนาไปสู่ ASEAN Combined Task Force

หลักพื้นฐานในการใช้กำลังทหารในภารกิจด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ[2]
หลักการในการใช้กำลังทหารในภารกิจ HA/DR เมื่อประเทศผู้ประสบภัยพิบัติ (Affected State) ได้ตอบรับความช่วยเหลือประเทศที่ให้ความช่วยเหลือ (Assisting State) โดยทั้งสองประเทศจะทำข้อตกลงในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติรวมทั้งจะจัดทำสถานะของกองกำลังในประเทศผู้ประสบภัยหรือ SOFA สำหรับชาติในอาเซียนจะปฏิบัติตามข้อตกลง AADMER และแนวทางปฏิบัติใน SASOP ทั้งนี้ทหารของชาติในอาเซียนมีบทบาทนำหลักในเรื่อง HA/DR โดยเป็นกลไกที่ทุกชาติในอาเซียนยอมรับความสำคัญ
     เมื่อกองกำลัง HA/DR ของประเทศที่ให้ความช่วยเหลือเข้าพื้นที่ภัยพิบัติ นอกจากปฏิบัติตามสถานะกองกำลังตามข้อตกลงดังกล่าวแล้วยังต้องเคารพวัฒนธรรม อำนาจอธิปไตย และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายมนุษยธรรม กฎหมายและแผนบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติของประเทศที่ประสบภัย โดยยึดถือหลักปฏิบัติพื้นฐานด้านมนุษยธรรม ได้แก่ หลักมนุษยธรรม (Humanity) ความไม่ลำเอียง (Impartiality) ความเป็นกลาง (Neutrality) และหลักพื้นฐาน Do Not Harm อย่างเคร่งครัด  ตัวอย่างเช่นในเรื่อง การใช้ Force Protection จะใช้ตำรวจหรือทหารของประเทศประสบภัยพิบัติรับผิดชอบดูแลคุ้มครองความปลอดภัยของรถขนส่งยุทโธปกรณ์รวมทั้งท่าเรือ ที่พักหรือแค้มป์ของประเทศที่ให้ความช่วยเหลือเมื่อเข้าพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เรื่องการตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ประสบภัยต้องอยู่ในมาตรฐานสากลแล้วการใช้ยาต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยแพทย์ประเทศผู้ประสบภัยก่อนนำไปใช้กับผู้ประสบภัยสำหรับประเทศผู้ประสบภัยควรให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่กองกำลังของประเทศที่ให้ความช่วยเหลือให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยได้อย่างรวดเร็วเพื่อลดการสูญเสียชีวิตของผู้ประสบภัยซึ่งจะอยู่ในช่วงสัปดาห์แรกหลังภัยพิบัติเกิดขึ้น เช่น มาตรการศุลกากร(Custom) การเข้าเมือง (Immigration) การงดเว้นภาษี การสนับสนุนระบบขนส่ง การจัดตั้งศูนย์ประสานงานนานาชาติทั้งศูนย์ประสานงานทหาร-ทหารหรือ MNCC (Multi National Coordination Center) และศูนย์ประสานงานทหาร-พลเรือน Civil-Military Coordination Center (CMOC) เพื่อการประสานงานระหว่างประเทศผู้ประสบภัย ประเทศให้ความช่วยเหลือ องค์กรระหว่างประเทศการทำแผนร่วม (Joint Plan) ในภารกิจช่วยผู้ประสบภัย งานมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติในพื้นที่ภัยพิบัติ สำหรับทหารจะถูกกำหนดออกมาเป็นคำสั่งปฏิบัติการซึ่งจะมีแนวคิดการปฏิบัติแยกออกเป็นขั้นตั้งแต่ขั้นการเข้าประเทศผู้ประสบภัย  ขั้นการเคลื่อนย้ายกำลังเข้าพื้นที่ภัยพิบัติ  ขั้นปฏิบัติการ ขั้นการส่งมอบภารกิจและขั้นกลับประเทศ
รูปแบบการปฏิบัติการของทหารในภารกิจด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ ทหารควรจะปฏิบัติในลักษณะ Indirect Support เช่น การส่งมอบอาหารและยาให้กับองค์กร UN หรือองค์กรช่วยเหลือของประเทศผู้ประสบภัยเพื่อนำส่งต่อผู้ประสบภัยพิบัติและการสนับสนุนในเรื่องการสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐาน(InfrastructureSupport)
สำหรับการช่วยในลักษณะ Direct Support เช่น การส่งมอบอาหารและยาผู้ประสบภัยโดยตรงนั้นจะขัดกับหลักการในเรื่อง Last Resort ทั้งนี้อาจจะกระทำได้หากเป็นการปฏิบัติร่วมกับทหารชาติที่ประสบภัยหรือได้รับการร้องขอการช่วยเหลือจากประเทศประสบภัย
    ขีดความสามารถของกองทัพไทยในการปฏิบัติการร่วมกับนานาชาติในภารกิจ HA/DR
กองทัพบก  ด้านการสนับสนุนของทหารช่าง (Infrastructure Support) เช่น สร้างสะพาน ถนน การค้นหาและช่วยชีวิตแบบ Urban SAR  และ Jungle SAR และภัยพิบัติที่มาจากสารเคมีรั่วไหล (Chemical Leakage)
 กองทัพเรือ  ในการปฏิบัติการนอกประเทศนั้น กองทัพเรือมีเรือขนาดใหญ่ที่สามารถใช้เป็นฐานบัญชาการในการควบคุมบังคับบัญชาและการสื่อสาร ขีดความสามารถด้านการเป็นเรือพยาบาล การอพยพและช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นฐานบินของเฮลิคอปเตอร์ และเป็นเรือขนส่งยุทโธปกรณ์ลำเลียงอาหารและเวชภัณฑ์สนับสนุนหน่วยช่วยเหลือด้านบรรเทาภัยพิบัติและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของกำลังกองทัพบกที่ไปปฏิบัติการบนบกได้เป็นอย่างดีทั้งนี้จากการที่เรือสามารถปฏิบัติการในทะเลได้นานทำให้กองทัพเรือมีขีดความสามารถในการดำรงอยู่ในสภาวะแวดล้อมในพื้นที่ปฏิบัติการที่ประสบภัยพิบัติในห้วงวิกฤติหลังภัยพิบัติซึ่งมีโรคระบาดและผลกระทบต่อเนื่องของภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม ฝนตกหนัก พายุถล่มในพื้นที่ ตัวอย่างเช่น ภารกิจการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ในปี ๔๗ ทั้งนี้ล่าสุดกองทัพเรือได้ขึ้นระวางประจำการเรือหลวงอ่างทองในปี ๕๕ ซึ่งมีภารกิจโดยตรงในการช่วยเหลือประชาชนในการบรรเทาสาธารณภัย ค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล การขนส่งลำเลียงทางทะเล เรือบัญชาการและฐานปฏิบัติการในทะเล จึงเป็นเครื่องยืนยันขีดความสามารถรองรับภารกิจด้านการบรรเทาสาธารณภัยนอกประเทศในภูมิภาคอาเซียนของกองทัพเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นแนวคิดการใช้กำลังทางเรือเช่นเดียวกับที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ทางเรือของสหรัฐ จีน รวมไปถึงหลายชาติในอาเซียนซึ่งเห็นได้ชัดเจนในการที่สหรัฐ จีน สิงคโปร์ และมาเลเซียได้นำเรือเข้าร่วมการฝึกทางทหารอาเซียนด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติของอาเซียนที่ประเทศบรูไนในปี ๕๗ ที่ผ่านมา
   กองทัพอากาศ  ด้านการขนส่งลำเลียงทางอากาศ การแพทย์ทหาร การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินทางอากาศ
 นทพ.บก.ทท.ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากตึกถล่ม การสนับสนุนด้านสาธารณูปโภค


                                                   ภาพการฝึกซ้อมบรรเทาภัยพิบัติ 

         ทั้งนี้การปฏิบัติการในภารกิจ HA/DR ในการเข้าช่วยเหลือชาติในอาเซียน ด้วยสภาวะแวดล้อมภัยพิบัติที่ต้องการการควบคุมในลักษณะ Secure and Control จากโรคติดต่อในพื้นที่ปฏิบัติการนั้น เห็นควรใช้ศักยภาพของทุกกองทัพให้เต็มที่โดยกองทัพบกเป็นกองกำลังหลักสนับสนุนด้วยกองทัพเรือ กองทัพอากาศในการลำเลียงหรือเป็นฐาน/ศูนย์บังคับบัญชา จึงจะสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงควรริเริ่มเน้นการฝึกHA/DR ในเวทีการฝึกร่วมกองทัพไทยและการเข้าร่วมการฝึกร่วมนานาชาติเพื่อเตรียมความพร้อมกองทัพไทย

รูปแบบในการจัดตั้งกองกำลังอาเซียนด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ (ASEAN HA/DR Task Forces)
ด้วยแนวโน้มภัยพิบัติขนาดใหญ่ส่งกระทบต่อทุกชาติในอาเซียนดังนั้นทุกชาติในอาเซียนควรต้องปกป้องผลประโยชน์ร่วมโดยการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาถึงจะอยู่รอดและลดความสูญเสียต่อชีวิตผู้ประสบภัย และผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมหภาคของอาเซียน จนไปถึงผลกระทบต่อผลประโยชน์หรือตลาดการค้าและฐานการผลิตของประเทศมหาอำนาจเช่น จีน ญี่ปุ่น สหรัฐซึ่งเป็นคู่ค้าใหญ่ของอาเซียนซึ่งได้ทำให้ประเทศเหล่านี้ได้กำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ในการให้ความช่วยเหลือด้าน HADR แก่ประเทศอาเซียน ทั้งนี้หากจะพิจารณาขีดความสามารถของกองทัพทุกชาติในอาเซียนโดยนำมารวมเป็นกองทัพอาเซียน (ASEAN Combined Task Force) เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาคมอาเซียนเองแล้ว จะพบว่ากองทัพอาเซียนมีขีดความสามารถสูงในทุกมิติทั้งกองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศอาเซียน ซึ่งเพียงพอกับพื้นที่ปฏิบัติการในภูมิภาคและสามารถนำมาต่อรองกับประเทศมหาอำนาจ การป้องปราม และต่อต้านภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆได้โดยเฉพาะภารกิจด้าน HA/DR ได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันอาเซียนได้บรรจุความร่วมมือระหว่างกองทัพอาเซียนในเรื่อง HA/DR ไว้ในการประชุม ASEAN Defense Ministers’ Meeting-Plus (ADMM Plus) ซึ่งได้มีการพัฒนาการใช้ขีดความสามารถทางทหารร่วมกันผ่านการฝึกร่วมของอาเซียนเช่น การฝึก Humanitarian Assistance & Disaster Relief ณ ประเทศบรูไน  และการฝึก AHX14 ณ จว.ฉะเชิงเทราประเทศไทยซึ่งอันจะนำไปสู่การจัดตั้งระบบASEAN Stand- by Arrangement System และต่อยอดเป็น ASEAN HA/DR  Combined Task Forceในอนาคต

                   
ความสำเร็จของการฝึกด้านการบรรเทาและจัดการภัยพิบัติ AHX14 ณ ประเทศไทย

       ทั้งนี้ปัญหาสำคัญในปัจจุบันคือการจัดทำแนวทางความร่วมมือทางทหารในเอกสารมาตรฐานวิธีการปฏิบัติและระบบเตรียมความพร้อมด้านการประสานงานการบรรเทาทุกข์และการตอบโต้สถานการณ์ภัยพิบัติฉุกเฉินของอาเซียน หรือ SASOP ซึ่งเห็นควรจะผลักดันให้มีการดำเนินการในเวทีการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา" หรือ ADMM-Plus 8 ประเทศ คือ สหรัฐฯ จีน รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย โดยให้ประธานร่วมของคณะทำงาน ADMM – Plus ในวงรอบปี ๒๕๕๗ ๒๕๕๙ ในด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, ญี่ปุ่น) รับผิดชอบจัดการประชุม Workshop หรือจัดการฝึกในลักษณะ TTX รวบรวมข้อคิดเห็นควบคู่ไปกับการฝึกซึ่งจะได้ทั้งภาคทฤษฎี และการทดสอบแนวทางปฏิบัติดังกล่าวผ่านการฝึก CPX ต่อไปเพื่อให้การปฏิบัติการทางทหารของอาเซียนมีแนวทางและกรอบการปฏิบัติงานร่วมกันที่ชัดเจนรวมไปถึงการพัฒนาเอกสารการปฏิบัติการทางทหารของชาติอาเซียนในเรื่อง HA/DR โดยอาจจะนำเอกสารการปฏิบัติการร่วมนานาชาติ  MNF SOP ซึ่งหลายชาติใช้ในการฝึกร่วมกับชาติพันธมิตรมาพัฒนาให้เป็นเอกสารการปฏิบัติการร่วมของทหารในอาเซียนเอง

      ระบบเตรียมพร้อมด้าน HA/DR ของอาเซียนควรเป็นอย่างไร ภายใต้ข้อตกลง ADMEER ปัจจุบันยังไม่มีการเสนอจัดตั้งกองกำลังเตรียมพร้อมด้าน HA/DR อาเซียน (HA/DR ASEAN Stand-by Arrangement System) เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าควรนำระบบ United Nation Stand-by Arrangement System: UNSAS  ซึ่งหลายชาติในอาเซียนใช้ในการส่งกำลังทหารเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ มาเป็นต้นแบบของระบบกำลังเตรียมพร้อมด้าน HA/DR ของอาเซียน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การส่งบัญชีกำลังชุด Stand by Arrangement  มาตรฐานการปฏิบัติงานร่วม การฝึกเตรียมพร้อมกองกำลัง เป็นต้น รวมทั้งการจัดตั้งคลัง Disaster Relief Logistic System for ASEAN เพื่อสนับสนุนทุกประเทศอาเซียน สำหรับกองทัพไทยแล้วการพัฒนาขีดความสามารถทางทหารด้าน HA/DR ควรจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมสำหรับกองทัพไทยในลักษณะเดียวกับศูนย์สันติภาพจอมทัพไทย เพื่อสร้างบทบาทนำในอาเซียนด้านการให้ความสำคัญในเรื่อง HA/DR รวมทั้งเป็น Focal Point กองทัพไทยตาม SASOP Process โดยเน้นการฝึกสร้างจุดแข็งพัฒนาเพิ่มในขีดความสามารถของเหล่าทัพและ นทพ. ที่มีอยู่ในปัจจุบันและการสร้างเสริมประสบการณ์โดยการส่งกำลังทหารไปภารกิจด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ
         สรุปได้ว่าปัจจุบันกองทัพไทยมีความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในการรองรับภารกิจด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติในภูมิภาคอาเซียนได้เป็นอย่างดีอย่างไรก็ตามกองทัพไทยควรต้องพัฒนากำลังพลที่จะเข้าไปปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศให้มีความเป็นมืออาชีพซึ่งหมายถึง 
         ๑. ทีมระดับยุทธวิธีมีประสบการณ์และขีดความสามารถในภารกิจ HA/DR 
         ๒. ทีมวางแผนร่วมมีทักษะและความรู้ในการทำงานภายในศูนย์ประสานงานนานาชาติ (Multi -National Coordination Center: MNCC) ซึ่งเน้นการปฏิบัติการร่วมทหาร - ทหาร และงานการประสานการปฏิบัติร่วมกับศูนย์ประสานงานพลเรือน - ทหาร (Civil-Military Coordination Center: CMCC) ซึ่งต้องมีความรู้ในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายด้านมนุษยธรรม เอกสารหลักปฏิบัติการร่วมนานาชาติที่กองทัพในอาเซียน องค์กรระหว่างประเทศใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ ASEAN SASOP, MNF SOP APC MADRO และ Oslo Guidelines ได้เป็นอย่างดี และสุดท้ายคือเครื่องมือ ยุทโธปกรณ์และการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษให้กำลังพล

         ก้าวต่อไปของกองทัพไทยในประชาคมอาเซียน จากวิสัยทัศน์กองทัพไทย กองทัพไทยเป็นกองทัพชั้นนำในด้านความมั่นคงของรัฐและอาเซียน คงเป็นการยืนยันการวาง Positioning หรือภาพลักษณ์ของกองทัพไทยตามหลักการบริหาร (Management) ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคงจะสามารถตอบคำถามได้ว่าก้าวต่อไปของกองทัพไทยในประชาคมอาเซียนคือ การก้าวเป็นกองทัพชั้นนำที่มีบทบาทนำในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งภารกิจสนับสนุนการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติหนึ่งในภารกิจในการรักษาผลประโยชน์ของชาติร่วมกันในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น Road Map ที่จะนำกองทัพไทยไปสู่การเป็นหน่วยงานความมั่นคงที่มีบทบาทนำในภูมิภาคอาเซียนซึ่งหมายถึงบทบาทนำทั้งนโยบายและบทบาทนำในด้านการปฏิบัติการทางทหารด้าน HA/DR เพื่อให้เป็นที่เชื่อมั่นแก่ประชาชนและกองทัพในประชาคมอาเซียน โดยบทบาทนำด้านนโยบาย ได้แก่ การริเริ่มเสนอมาตรการในการแก้ปัญหาสำคัญของประชาคมอาเซียนในการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของชาติร่วมกันของทุกชาติผ่านการประชุมระดับผู้บังคับบัญชาชั้นสูง (Senior Commander) ในเวทีการประชุม รมว.กห.อาเซียน (ADMM) และการประชุม ผบ.เหล่าทัพอาเซียน ลงสู่ระดับเสนาธิการ (Staff) ทั้งการประชุมระดับทวิภาคีและพหุภาคี จนพัฒนาเป็นแผนประจำปีกองทัพประชาคมอาเซียน (ASEAN Armed Force Year Plans) ได้แก่แผนการฝึกร่วมและผสมทั้ง  แผนการเยือนผู้บังคับบัญชา การเยี่ยมเมืองท่าของหมู่เรือและอากาศยาน การแลกเปลี่ยนการศึกษา การแลกเปลี่ยนการข่าวและส่งกำลังร่วมกันและที่สำคัญคือแผนการปฏิบัติการทางร่วมกันในลักษณะกองทัพอาเซียน ซึ่งควรจะเริ่มจากการฝึกด้านการบรรเทาภัยพิบัติก่อนเนื่องจากเป็นภัยคุกคามร่วมกัน มีความเร่งด่วนและและเป็นความเสี่ยงที่มีผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตประชากรและระบบเศรษฐกิจมหภาคของอาเซียน รวมทั้งเป็นการลดการหวาดระแวงทางการทหาร ซึ่งได้ริเริ่มขึ้นแล้วในการฝึก ADMM Plus ที่ประเทศบรูไนเมื่อปี ๕๖ สำหรับบทบาทนำในระดับการปฏิบัติการทางทหาร คือ กองทัพไทยต้องมีขีดความสามารถของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ในการปฏิบัติการทางทหารร่วมกับกองทัพในชาติอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือความเป็นมืออาชีพนั่นเอง โดยหน่วยเตรียมกำลังรบคือเหล่าทัพ ต้องสร้าง นักรบไทยให้มีความเชี่ยวชาญทั้งการวางแผนยุทธการไปถึงการปฏิบัติงานจริงในระดับยุทธวิธีร่วมกับชาติในอาเซียนและพันธมิตร ดังนั้นการพัฒนาองค์ความรู้และการจัดหายุทโธปกรณ์จึงต้องทำควบคู่ไปกับ การฝึกอย่างไร รบอย่างนั้น จึงจะได้ความชำนาญและความเป็นทหารมืออาชีพรวมทั้งการปลูกฝังค่านิยมกองทัพไทย ได้แก่ ทหารอาชีพ ความจงรักภักดี ความกล้าหาญ และ การทำงานเป็นทีม เพื่อสร้างความภูมิใจในอาชีพในการเป็นทหารอันจะนำไปสู่การมีบทบาทนำในกองทัพชาติอาเซียนซึ่งจะทำให้ประชาชนในอาเซียนเกิดความมั่นใจในคุณค่าของกองทัพอาเซียน คือ กองทัพอาเซียนที่ประชาคมอาเซียนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ


อ้างอิง
[1] พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.ทสส. กล่าวในพิธีเปิดการประชุม ผบ.ทร.อาเซียนครั้งที่ ๘ ว่าการประชุมในวันนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในภาพรวมของกองทัพในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในอนาคตจะมีการตั้งเป็นกองกำลังอาเซียนและการส่งกำลังไปรักษาสันติภาพแทนที่จะไปประเทศใดประเทศหนึ่งแต่เราจะรวมกันไป ใครที่มีศักยภาพในด้านใดก็ส่งไปพร้อมกับตั้งเป็นหน่วยเฉพาะกิจอาเซียน ซึ่งเราได้มีข้อตกลงกันระหว่างกองทัพในอาเซียน
[2] เอกสารอ้างอิง 
  Asia-Pacific Regional Guidelines For The Use Of Foreign Military Assets In Natural Disaster Response Operations
  Guidelines On The Use of Foreign Military and Civil Defence Assets In Disaster Relief - “Oslo Guidelines”

บทความล่าสุดที่เผยแพร่

การแขวนพระตามพื้นดวงเกิดและการเร่งพุทธคุณพระเครื่องด้วยหลักการอิทธิบาทสี่

  การแขวนพระตามพื้นดวงเกิดและการเร่งพุทธคุณพระเครื่องที่แขวนประจำตัวด้วยหลักการอิทธิบาทสี่ นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุตติยา ความนอบน้อมของข้าฯ จ...

บทความที่ได้รับความนิยม