วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2568

การรักษาความมั่นคงทางทะเลเพื่อการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติใน พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา







ภาพที่ ๑ การประกาศเขตไหล่ทวีปของไทยกับกัมพูชาที่แตกต่างกันทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล

ที่มาแผนที่: >ราชกิจจานุเบกษา เล่ม๙๐ ตอนที่ ๖๐ (๑ มิ..๒๕๑๖)

              ๒> พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา,จุลสารความมั่นคงศึกษาสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

              ๓> Samharn Dairairam (2015).  Do Solutions to International  Security  Issues of Poorly Defined Maritime Boundaries Require Legal, Political, and Technical Tools, The Nippon Foundation

บทความเรื่องการรักษาความมั่นคงทางทะเลเพื่อการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา ฉบับนี้ เป็นความเห็นของผู้เขียนในฐานะนักวิชาการอิสระและคนไทยคนหนึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพเรือหรือหน่วยงานใดๆทั้งสิ้น เป็นบทความในลักษณะงานวิจัยเพราะต้องมีความเป็นกลางในการแสดงความเห็น วิธีการศึกษาเริ่มจากการทบทวนวรรณกรรม วิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารงานวิจัย บทความวิชาการ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เอกสารทางราชการที่เผยแพร่ ผลการประชุมและรายงานผลการศึกษาในเรื่องปัญหาเส้นเขตแดนทางทะเลประเทศไทยกับกัมพูชาจากหน่วยงานภาควิชาการและองค์กรทั้งในและต่างประเทศ การศึกษาประเด็นกฎหมายทะเลที่เกี่ยวข้องกับเส้นเขตแดนทางทะเล การบังคับใช้กฎหมายและแนวทางการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐด้วยสันติวิธี การดำเนินนโยบายและการกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทย และประเทศกัมพูชา และประเทศมหาอำนาจ จึงเป็นที่มาของเอกสารฉบับนี้ โดยจะเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาล กองทัพเรือ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลและหน่วยงานรัฐ เพื่อการรักษาความมั่นคงและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของไทยในพื้นที่ OCA และพิจารณาใช้ในการสนับสนุนนโยบายและขับเคลื่อนผ่านกลไกตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ.๒๕๔๔  และข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาฉบับอื่นๆ อย่างสันติวิธีและถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งจากหน่วยกำลังทางเรือทั้งสองประเทศที่เข้ามาปฏิบัติการเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ OCA ซึ่งจะเอื้อต่อการใช้ประโยชน์ทางทะเลร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ลดปัญหาการแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจ และเสริมสร้างสภาวะแวดล้อมความมั่นคงทางทะเลในภูมิภาคอาเซียน ในการส่งเสริมให้อ่าวไทยเป็น พื้นที่แห่งสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และ ความมั่งคั่ง (Gulf of Peace, Security, Stability and Prosperity) อันจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และจุดยืนของไทยในฐานะสมาชิกอาเซียนและสมาชิกสหประชาชาติที่ดีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนทางทะเลและการอ้างสิทธิ์การใช้ทรัพยากรธรรมชาติในทะเลระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาในกรอบกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ ทั้งนี้การนำเสนอบทความจะเริ่มจากความเข้าใจในเรื่องอาณาเขตทางทะเลกับความมั่นคงของประเทศ ภูมิรัฐศาสตร์ทางทะเลไทยกับความมั่นคงของไทยและภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา และการตรวจสอบความถูกต้องของการกำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลของประเทศไทยและของประเทศกัมพูชาที่ทำให้เกิดพื้นที่ที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ โดยอ้างอิงข้อมูลจากเอกสารทางราชการของประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหรือวัตถุประสงค์ของการเขียนบทความวิชาการฉบับนี้ของผู้เขียน และสุดท้ายเป็นข้อเสนอแนวปฏิบัติเชิงนโยบายในการรักษาความมั่นคงและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ OCA ทั้งนี้บทความนี้ไม่ได้มุ่งประสงค์อภิปรายเกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ.๒๕๔๔ ว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องเพราะเป็นเรื่องในระดับนโยบายระดับสูงที่รัฐบาลพยายามแก้ไข แต่บทความมุ่งนำเสนอแนวทางในการปฏิบัติของหน่วยนโยบายและหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ OCA ที่ต้องการความชัดเจนในแนวทางปฏิบัติและนโยบายเพื่อการปฏิบัติภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพในการรักษาอำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตย การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การช่วยเหลือประชาชนและการป้องกันประเทศ ภายใต้กรอบกฎหมายภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งและความตึงเครียดระหว่างรัฐที่จะนำไปสู่การใช้กำลังทางเรือระหว่างกันระหว่างไทยกับกัมพูชา ระหว่างที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกันในปัญหาเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา  ทั้งนี้ผู้สนใจในเรื่องความมั่นคงสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://ache-pko.blogspot.com/2014/12/blog-post.html

รัฐชาติ (Nation State) : ความมั่นคงและความเป็นเอกราชของประเทศ รัฐชาติ ที่มีความเป็น     เอกราชต้องมีองค์ประกอบได้แก่ ดินแดนหรืออาณาเขตของประเทศ (Territory) ประชากร (Population) รัฐบาล (Government) และอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) ซึ่งอาณาเขตของประเทศเป็นที่มาของเอกราชและอธิปไตย ดังนั้นจึงถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดเพราะเมื่อสูญเสียดินแดนไป คำว่ารัฐชาติจะหมดสิ้นไป ทุกประเทศจึงกำหนดให้อาณาเขตของประเทศ ถือว่าเป็นผลประโยชน์ของชาติที่สำคัญที่สุด ( Survival Interests) เพราะมีผลต่อความ    อยู่รอดของประเทศ สำหรับประเทศไทยได้กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ โดยนิยามว่าผลประโยชน์แห่งชาติ คือ       เอกราช อธิปไตย การดำรงอยู่อย่างมั่นคงของสถาบันหลักของชาติและประชาชน ความยั่งยืนทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความมั่นคงทางพลังงานและอาหาร ความสามารถในการรักษาผลประโยชน์ของชาติภายใต้สภาวะแวดล้อมระหว่างประเทศ และในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐  กำหนดว่าหน้าที่รัฐ คือ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน

 อาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) เป็นที่มาของความมั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืนของประเทศ ได้แก่ อำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตยและผลประโยชน์ชาติทางทะเล โดยอาณาเขตทางทะเลของประเทศไทยตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒  เท่ากับ ๓๒๓,๔๘๘.๓๒ ตารางกิโลเมตร คิดเป็น  ร้อยละ ๖๐ ของอาณาเขตทางบกที่มีเนื้อที่อยู่ประมาณ ๕๑๓,๑๑๕ ตารางกิโลเมตร มีความยาวของชายฝั่งทะเลทั้งด้านอ่าวไทย และทะเลอันดามัน รวมถึงช่องแคบมะละกาตอนเหนือ รวมทั้งสิ้น ๓๑๔๘.๒๓ กิโลเมตร ครอบคลุม ๒๓ จังหวัดชาย ฝั่งทะเล ดังนั้นอาณาเขตทางทะเลของไทยจึงมีความสำคัญต่อความมั่นคง ความอยู่รอด ความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน  เกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ

ปัญหาเรื่องเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา กัมพูชาได้ประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ และต่อมา ไทยประกาศเขตไหล่ทวีป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ โดยสภาพภูมิประเทศทั้งสองประเทศมีเขตแดนทางบกและทางทะเลติดต่อกัน ดังนั้นการประกาศเขตไหล่ทวีปทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ประมาณ ๒,๖๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ซึ่งในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล คาดว่าจะมีแก็สธรรมชาติและน้ำมันดิบจำนวนมาก ซึ่งพลังงานเป็นต้นทุนของภาคเศรษฐกิจซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับทั้งสองประเทศได้มหาศาลอย่างยั่งยืน ปัญหาสำคัญคือทั้งสองประเทศยังไม่สามารถเจรจาตกลงกันในเรื่องเขตแดนทางทะเลและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ OCA ทั้งนี้แนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ ๑) การเจรจาแบบทวิภาคี ๒) การนำข้อพิพาทให้บุคคลที่สามเป็นผู้ตัดสิน (ศาลระหว่างประเทศ) หรือ ๓) การตกลงจัดทำเขตพื้นที่พัฒนาร่วม (Joint Development Area) โดยเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๔ ประเทศไทยและกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (ที่เรียกว่า MOU 44) ซึ่งกำหนดกลไกที่อำนวยการให้เกิดการเจรจาระหว่างสองฝ่าย ประกอบด้วย กลไกคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) รวมถึงกลไกย่อย ได้แก่ Sub-JTC ๒ คณะ และกำหนดหลักการให้ต้องเจรจา ๒ เรื่องควบคู่กันไปในลักษณะที่แบ่งแยกไม่ได้ (Indivisible package) ได้แก่ ๑) การกำหนดเขตแดนทางทะเล (Delimitation) สำหรับทะเลอาณาเขตไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ บริเวณเหนือเส้นละติจูดเหนือที่ ๑๑ และ ๒) การกำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมสำหรับการจัดการผลประโยชน์จากทรัพยากรบริเวณใต้เส้นละติจูดเหนือที่ ๑๑ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ( พ.ศ.๒๕๖๗ ) พื้นที่อ้างสิทธิ์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชายังอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาร่วมกันแบบสันติของรัฐบาลทั้งสองประเทศ นอกจากนี้พื้นที่ OCA ยังมีความสำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์ (Geo-Politic) ของโลกและภูมิภาคอินโดแปซิฟิก เนื่องจากเป็นเส้นทางขนส่งทางทะเลที่สำคัญและเป็นพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ในการสร้างอิทธิพลทางการทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศของประเทศมหาอำนาจ ได้แก่ สหรัฐ จีน ได้แก่ยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative ของจีน และยุทธศาสตร์ Indo Pacific ของสหรัฐ ทำให้สถานการณ์ด้านความมั่นคงทางทะเลในพื้นที่ OCA มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนในทะเลจีนใต้ และความขัดแย้งจากการอ้างสิทธิ์เขตแดนทางทะเลของจีนที่มีผลกระทบต่อชาติอาเซียนหลายประเทศ สำหรับประเทศไทยและกัมพูชา เนื่องจากพื้นที่ OCA เป็นเส้นทางขนส่งทางทะเลและเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งสองประเทศ จึงมีเรือประมง และเรือสินค้าของทั้งสองประเทศและชาติที่สาม เข้าไปแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และมีกิจกรรมการกระทำผิดกฎหมาย เช่น การลักลอบขนส่งยาเสพติดและของผิดกฎหมายในพื้นที่ OCA ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ดังนั้นประเทศไทยและประเทศกัมพูชา จึงมีการส่งกำลังทางเรือเข้าลาดตระเวนในพื้นที่ OCA เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของชาติตน สำหรับการปฏิบัติงานของหน่วยงานไทยในพื้นที่ OCA จะเป็นการแสดงกำลังเพื่อป้องปราม การคุ้มครองกองเรือประมงและกองเรือสินค้าเพื่อแสดงสิทธิอธิปไตยและอำนาจอธิปไตยและ สิทธิการเดินเรือ (Innocent Passage and Freedom of Navigation) และ การบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิด เช่น การลักลอบจับสัตว์น้ำในพื้นที่น่านน้ำภายในบริเวณเกาะกูดซึ่งผิดกฎหมายไทยของเรือประมงประเทศกัมพูชาและการลักลอบขนส่งสิ่งผิดกฎหมาย ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่ OCA ทั้งสองประเทศยังไม่บรรลุการเจรจาตกลงเรื่องเส้นเขตแดนกัน ดังนั้นการใช้กำลังทางเรือทั้งเรือรบ เรือของหน่วยงานรัฐ (ตำรวจน้ำ กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร) ในการปฏิบัติการในพื้นที่ OCA จึงอาจจะนำไปสู่การกระทบกระทั่งระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจะทำให้กระบวนการและกลไกในการแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศในการตกลงกันในเรื่องเขตแดนทางทะเลและพื้นที่พัฒนาร่วม(Joint Development Area) ในพื้นที่ OCAประสบปัญหา ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงทางทะเลเพื่อการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา ในช่วงระหว่างการเจรจากันทั้งสองประเทศให้แก่หน่วยงานของไทยที่มีหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยเป็นนโยบายและแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกันทั้งมิติทางการทหาร การเมืองระหว่างประเทศและเศรษฐกิจและถูกต้องตามหลักกฎหมายทั้งกฎหมายภายในของไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งต้องแสดงสิทธิอธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยในพื้นที่ OCA เพื่อการสร้างความได้เปรียบอำนาจการต่อรองในเวทีการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชา ตลอดจนเป็นการปฏิบัติในฐานะสมาชิกของอาเซียนและสหประชาชาติในการร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศอันจะนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงในเรื่องเส้นเขตแดนทางทะเลและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของทั้งสองประเทศในอนาคต

นโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงทางทะเลเพื่อการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา ฉบับนี้ จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ และจำเป็นอย่างยิ่งต่อการกำหนดนโยบายของทุกรัฐบาล โดยเอกสารฉบับนี้จะเป็นข้อเสนอให้กับรัฐบาลในการกำหนดมาตรการและแนวปฏิบัติที่ชัดเจน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล ในการส่งเสริมบทบาทและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในเวทีการเมืองระดับประเทศ โดยมีแนวคิดระดับยุทธศาสตร์ในการสร้างเสริมความมั่นคงทางทะเลแบบองค์รวม (Comprehensive Security) โดยใช้กำลังอำนาจของชาติ สมุทานุภาพ และการใช้จุดได้เปรียบของภูมิรัฐศาสตร์(Geo-Politic) และสอดคล้องกับกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) ค.ศ. ๑๙๘๒  โดยเป็นข้อเสนอแนะให้กับหน่วยงานความมั่นคงทั้งระดับนโยบายและระดับหน่วยปฏิบัติที่มีหน้าที่ในการรักษาอำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตย การป้องกันประเทศและการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ในพื้นที่ OCA ได้แก่ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงการต่างประเทศ(กต.) กองทัพเรือ (ทร.) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) กรมเจ้าท่า (จท.) กรมประมง (กป.) กรมศุลกากร กองบังคับการตำรวจน้ำ และ จังหวัดตราด เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งและความตึงเครียดระหว่างรัฐที่จะอาจจะนำไปสู่การใช้กำลังทางเรือระหว่างกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาและเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศทางการทูตที่ดีในฐานะสมาชิกอาเซียนและลดการแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจ ระหว่างที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมกันภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ. ๒๕๔๔ (MOU 44) และกรอบความร่วมมืออื่นๆของสองประเทศ

ภูมิรัฐศาสตร์:ความสำคัญของพื้นที่ผลประโยชน์ทางทะเลต่อความมั่นคงของประเทศไทยและภูมิภาค

บทความวิเทศปริทัศน์ กระทรวงการต่างประเทศ เรื่อง เมื่อปัจจัยทางภูมิศาสตร์เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายในการกำหนดนโยบายต่างประเทศ ซึ่งอ้างอิงหนังสือ Prisoners of Geography โดย Tim Marshall และ The Revenge of Geography โดย Robert D. Kaplan สรุปความสำคัญที่ตั้งประเทศไทยไว้ว่าประเทศไทยมี       ข้อได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบทางภูมิศาสตร์จากการเป็นจุดศูนย์กลางความเชื่อมโยงระหว่างภาคพื้นทวีป (Mainland) กับภาคพื้นมหาสมุทร (Maritime) ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีพื้นที่ทางภาคเหนือที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจากจีน และทางภาคใต้ติดมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ในความสำคัญด้านเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน ประเทศไทยเป็นพื้นที่ความเชื่อมโยงภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆเช่น Greater Mekong Sub-region (GMS) และความเชื่อมโยงภายใต้กรอบอาเซียนซึ่งเป็นโอกาสทางด้านการค้า การลงทุน และการเชื่อมโยงทางโครงสร้างพื้นฐานและคมนาคม ในด้านความมั่นคง ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากประเทศรอบข้างเป็นรัฐกันชน (Buffer Zone) เมื่อเกิดข้อขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศขณะเดียวกันการที่ไทยมีพรมแดนทางบกติดกับกัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา และมาเลเซีย ก็ทำให้ไทยมีความเปราะบางต่อการได้รับผลกระทบทางภัยด้านความมั่นคงในรูปแบบต่าง ๆ จากประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นประเทศไทยควรใช้ประโยชน์จากภูมิศาสตร์ในฐานะปัจจัยขับเคลื่อน(location-driven)นโยบายด้านการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี รวมถึงด้านการส่งเสริมความมั่นคงชายแดนรวมถึงอาณาเขตทางทะเลที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งฝั่งทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดียและฝั่งอ่าวไทย มหาสมุทรแปซิฟิก โดยใช้จุดแข็งจากเป็นจุดยุทธศาสตร์ศูนย์กลางเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนในการปฏิสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนรวมถึง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และออสเตรเลียในด้านการค้า การลงทุน ความมั่นคง ผ่านกรอบความร่วมมือที่ประเทศไทยมีบทบาทนำ เช่น ACMECS เพื่อเชื่อมโยงกับความร่วมมือในกรอบ Mekong-U.S. Partnership (MUSP) ของสหรัฐอเมริกา และ Lancang-Mekong Cooperation (LMC) ของจีน ทั้งนี้ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางความเชื่อมโยงในภูมิภาคอย่างแท้จริงได้ต่อเมื่อมีการเชื่อมโยงระบบขนส่งทางทะเล ทางบกและทางอากาศ เช่น โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะช่วยสนับสนุนบทบาทการเป็นศูนย์กลางของอาเซียนของประเทศไทย    

ภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitics) ในส่วนของพื้นที่ทางทะเล(Maritime Zone)ของไทย มีที่ตั้งประเทศตรงจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนและภูมิภาคอินโดแปซิฟิก โดยเป็นจุดเชื่อมต่อและจุดแบ่งเขตของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก จึงเป็นพื้นที่อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจ ได้แก่ อินเดีย จีน สหรัฐ ทั้งนี้อาณาเขตทางทะเลของประเทศไทยทั้งด้านอ่าวไทย และทะเลอันดามัน เป็นเส้นทางขนส่งทางทะเลเข้า-ออกของประเทศ และเชื่อมต่อกับจุดยุทธศาสตร์การเดินเรือหลักของโลก ได้แก่ ทะเลจีนใต้และช่องแคบมะละกา จึงกลายเป็นพื้นที่ที่มีผลกระทบจากปมขัดแย้งทางทะเลระหว่างจีน อินเดียและสหรัฐ ไปด้วยในอนาคต จากรายงานผลการวิจัยเรื่องความมั่นคงทางทะเล ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้สรุปแนวโน้มปัญหาในทะเลของประเทศไทย ได้แก่     ๑) ปัญหาการอ้างสิทธิทับซ้อนพื้นที่ทางทะเล ๒) ปัญหาความปลอดภัยของเส้นทางการเดินเรือ  ๓) ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ๔) ปัญหาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล และ ๕) ปัญหาภัยธรรมชาติทางทะเล ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้มีความซับซ้อน เชื่อมโยงกันและส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อประชาชน สังคมและความมั่นคงในทุกมิติ ดังนั้นยุทธศาสตร์ชาติและแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล จึงได้เปลี่ยนแนวคิดการรักษาความมั่นคงของประเทศเป็นความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) โดยมุ่งที่จะบูรณาการพลังอำนาจแห่งชาติทุกด้านในการดำเนินการต่อภัยคุกคามทุกรูปแบบอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจกับการทหารและการต่างประเทศของประเทศไทย ตลอดจนการนำกรอบแนวคิดประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) และอาเซียนเป็นศูนย์กลาง (ASEAN Centrality เพื่อการรักษาผลประโยชน์ร่วมกันของอาเซียนในการแก้ไขปัญหาหรือสร้างอำนาจต่อรองร่วมกันต่อการขยายอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้การบริหารจัดการความมั่นคงชายแดนทางทะเลของหน่วยงานความมั่นคงและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล จึงมีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางทะเลของประเทศทั้งในสถานการณ์ปกติ,สถานการณ์วิกฤติ/ไม่ปกติและสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัฐ ซึ่งนอกจากจะเป็นการแสดงถึงการขยายอำนาจเขตของประเทศไทยในฐานะรัฐชายฝั่งในการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศแล้วยังเป็นการป้องปรามต่อประเทศที่อาจจะมีความขัดแย้งในปัญหาทางทะเลในอนาคต ตลอดจนเป็นการตอบโต้ภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

อาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) กับความมั่นคงของชาติ (National Security)

 


ภาพที่ ๑  Maritime zones and rights under the 1982 United Nations Convention on the Law of the Sea (UNCLOS)

ที่มา: กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ

อาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) เป็นที่มาของความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของประเทศ รัฐชายฝั่งสามารถกำหนดอาณาเขตทางทะเลตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ หากจะแบ่งพื้นที่ทางทะเลตามเขตอำนาจแห่งชาติของรัฐ (National Jurisdiction) สรุปได้ดังนี้

๑.   พื้นที่แสดงถึงอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) ของประเทศ ได้แก่ น่านน้ำภายในและทะเลอาณาเขต (Territorial sea) มีความกว้างไม่เกิน ๑๒ ไมล์ทะเลโดยวัดจากเส้นฐานโดยเป็นเขตที่แสดงถึงอำนาจอธิปไตยของประเทศ ในกฎหมายระหว่างประเทศ คือความเป็นอำนาจสูงสุดของรัฐ (Autonomous of State) เป็นอำนาจที่รัฐสามารถบังคับใช้กฎหมายภายในของตนได้โดยสมบูรณ์ โดยรัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยรวมถึงห้วงอากาศ (Air Space) พื้นดินท้องทะเล (Sea-bed) และดินใต้ผิวดิน (Subsoil) ในทะเลอาณาเขต แต่เรือต่างชาติสามารถเดินเรือโดยการใช้สิทธิการผ่านโดยสุจริต (Right of Innocent Passage)ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยความมั่นคงของประเทศ

พื้นที่แสดงถึงสิทธิอธิปไตย  (Sovereign Right) ของประเทศ ได้แก่ เขตต่อเนื่อง (Contiguous zone) คือบริเวณถัดจากทะเลอาณาเขต มีความกว้างไม่เกิน ๒๔ ไมล์ทะเลวัดจากเส้นฐาน รัฐมีอำนาจบังคับใช้กฎหมายเรื่อง ศุลกากร การคลัง การลักลอบเข้าเมือง การสุขาภิบาล คุ้มครองวัตถุโบราณ หรือวัตถุทางประวัติศาสตร์ที่พบใต้ทะเล  เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone ) คือ บริเวณถัดออกไปจากทะเลอาณาเขต มีความกว้างไม่เกิน ๒๐๐ ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน รัฐมีอำนาจสำรวจ น้ำมัน ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อแสวงประโยชน์ อนุรักษ์ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ทั้งในน้ำ  ในพื้นดินไปจนถึงใต้ผิวดินของพื้นดินท้องทะเลและมีสิทธิแต่ผู้เดียว (Exclusive rights) ในการสร้างหรืออนุญาตให้สร้างเกาะเทียม (Artificial islands) สิ่งติดตั้ง (Installations) และสิ่งก่อสร้าง (Structures) เพื่อทำการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่มีชีวิตในเขตเศรษฐกิจจำเพาะแต่รัฐอื่นๆยังมีเสรีภาพในการเดินเรือ (Freedom of Navigation) การบินผ่าน วางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล ทั้งนี้การกำหนดเขตทางทะเลระหว่างรัฐที่อยู่ตรงข้ามหรือประชิด ให้ทำความตกลงกันบนมูลฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้บรรลุผลอันเที่ยงธรรม (Equitable solution) ไหล่ทวีป (Continental shelf) คือ พื้นดินท้องทะเลและดินใต้ผิวดินของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตออกไประยะ ๒๐๐ ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน นั้น รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือไหล่ทวีปในการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรบนไหล่ทวีปและทะเลหลวง (High Seas) รัฐทั้งปวงมีเสรีภาพในการเดินเรือ บินผ่าน วิจัย และทำการประมงในทะเลหลวง ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่นอกเหนือเขตอำนาจของรัฐใด และรัฐมีหน้าที่ร่วมมือกันในมาตรการอนุรักษ์และจัดการทรัพยากรมีชีวิตในทะเลด้วย และบริเวณพื้นที่ (The Area) หมายถึง พื้นดินท้องมหาสมุทร และดินใต้ผิวดินที่อยู่นอกขอบเขตอำนาจแห่งชาติ โดยถือว่าทรัพยากรพื้นที่นี้เป็นมรดกร่วมของมนุษย์ชาติ



ภาพที่ ๒ เขตอำนาจแห่งชาติของรัฐ (National Jurisdiction) อาณาเขตทางทะเลของประเทศไทย

ที่มาของแผนที่: กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ

เขตอำนาจแห่งชาติของรัฐ (National Jurisdiction) เป็นคำที่ปรากฏในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ มีความหมายว่าพื้นที่ทั้งหมดของรัฐชายฝั่งไม่ว่าจะเป็นแผ่นดิน (land) น่านน้ำภายใน (internal water) ทะเลอาณาเขต (territorial sea) เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (exclusive economic zone) และ     ไหล่ทวีป (continental shelf) ซึ่งเป็นบริเวณที่รัฐสามารถใช้เขตอำนาจในการออกกฎหมายและใช้บังคับกฎหมายได้ ตามสิทธิอธิปไตย (Sovereign Rights) และ อธิปไตยของรัฐ (State Sovereignty) ซึ่งมีความหมายแตกต่างกันในทางกฎหมาย โดยอธิปไตยแห่งรัฐมีความหมายคือความเป็นอำนาจสูงสุดของรัฐ (Autonomous of State) ที่มีอยู่กับรัฐทุกรัฐอย่างเท่าเทียมกัน ที่จะดำเนินกิจกรรมใดๆ ในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองภายในอาณาเขตแห่งรัฐ       อันเป็นหลักการตามกฎหมายระหว่างประเทศ สิทธิอธิปไตยแม้จะเป็นสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของรัฐแต่ก็เป็นสิทธิสูงสุดที่ครอบคลุมเป็นการเฉพาะเจาะจง เช่น สิทธิเหนือทรัพยากรแร่ธาตุ เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นโดยผลของความตกลงร่วมกันของรัฐภาคีที่ใช้อำนาจอธิปไตยมีเป้าหมายสำคัญที่จะแสดง ๑) รับรองสิทธิและอำนาจเหนือฐานทรัพยากรเฉพาะที่ระบุไว้ในความตกลง ๒) เป็นหลักการทางกฎหมายที่จะไปสร้างข้อผูกพัน (Obligation) และหน้าที่ของรัฐ ที่จะให้ความเคารพและยึดถือปฏิบัติในทางระหว่างประเทศ สิทธิอธิปไตยที่ว่านี้เป็นสิทธิที่รับรองให้แก่รัฐที่มีอำนาจอธิปไตยเพื่อเข้าไปบริหารจัดการให้อยู่ภายใต้เขตอำนาจแห่งรัฐ(National Jurisdiction)

ประเทศไทยมีความยาวของชายฝั่งทะเลตั้งแต่ชายฝั่งอ่าวไทยและชายฝั่งอันดามันรวมถึงช่องแคบ     มะละกาตอนเหนือ รวมทั้งสิ้น ๓๑๔๘.๒๓ กิโลเมตร ครอบคลุม ๒๓ จังหวัดชายฝั่งทะเล โดยอ่าวไทยมีลักษณะกึ่งปิด  (Semi Enclosed Sea) ที่ถูกห้อมล้อมด้วยพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศต่างๆ ถึง ๒ ชั้น ได้แก่ อ่าวไทยชั้นใน คือ กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย และ อ่าวไทยชั้นนอก คือ จีน อินโดนิเซีย และฟิลิปปินส์ ทางด้านตะวันตก พื้นที่ตอนเหนือของช่องแคบมะละกาถูกโอบล้อมด้วยน่านน้ำของมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ส่วนทะเลอันดามันถูกโอบล้อมด้วยน่านน้ำของอินเดียและเมียนมา ด้วยเหตุผลนี้อาณาเขตทางทะเลจึงเป็นเรื่องที่ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของประเทศไทย

สรุปว่าอาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) เป็นที่มาของผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เพราะระบุพื้นที่อันชอบธรรมตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ ซึ่งประเทศอื่นจะมาละเมิดหรือ     แย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติในอาณาเขตทางทะเลของประเทศไทยไม่ได้ หากมีการละเมิดจะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ   ในการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางทะเลประเทศ (Maritime Critical Infrastructure) ได้แก่ ฐานทัพ ท่าเรือ แท่นขุดเจาะ ระบบท่อน้ำมันและแก็สธรรมชาติในทะเล สายเคเบิลสื่อสารใต้ทะเล และ เศรษฐกิจภาคทะเล ได้แก่ การประมง ธุรกิจท่องเที่ยว ระบบการขนส่งทางทะเล  ทั้งนี้มูลค่าผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลในปี ๒๕๕๗ จากข้อมูลของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ พบว่าเศรษฐกิจภาคทะเลของไทยมีมูลค่าสูงถึง ๒๔ ล้านล้านบาท คิดเป็น ๓๐ % ของ GDP และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนี้แล้วอาณาเขตทางทะเลยังเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศเพราะเส้นเขตแดนทางทะเลเป็นการระบุพิกัดพื้นที่อันชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งแต่ละรัฐชายฝั่งมีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย และสิทธิการใช้กำลังเพื่อป้องกันประเทศของตนของรัฐสมาชิกภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ

ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.. ๒๕๔๐ มาตรา ๒๒๔ บัญญัติว่า:พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่น กับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศหนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตอำนาจแห่งรัฐหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญา ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑ ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้มาตรา ๕ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมายกฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้ มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของ มาตรา ๑๗๘ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพสัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศหนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และหนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา หรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

กฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา ๕๑ บัญญัติเอาไว้ว่าไม่มีข้อความใดในกฎบัตรฉบับปัจจุบันอันจักรอน   สิทธิประจำตัวในการป้องกันตนเอง หรือโดยร่วมกัน หากการโจมตีโดยกำลังอาวุธบังเกิดแก่สมาชิกของสหประชาชาติจนกว่าคณะมนตรีความมั่นคงจะได้ดำเนินมาตรการเพื่อธำรงไว้ซึ่ง สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ

อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ (United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 : UNCLOS 1982) ได้มีการรับรองในที่ประชุมสหประชาชาติด้านกฎหมายทะเลครั้งที่ ๓ โดยอนุสัญญาฯกำหนดหน้าที่ของรัฐในเขตทางทะเล สิทธิเดินเรือ การแสวงประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ กลไกการระงับข้อพิพาท โดยประเทศกัมพูชาได้ลงนามในอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ ๑ ก.ค.พ.ศ.๒๕๒๖ แต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน และประเทศไทยลงนามในอนุสัญญาฯ เมื่อ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ และให้สัตยาบันเป็นภาคีของอนุสัญญาฯหรือผูกพันตามอนุสัญญาแล้วเมื่อ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔ ทั้งนี้ประเทศไทยได้ออกประกาศแนบท้าย จำนวน ๕ ข้อโดยมี     ๓ ข้อที่สำคัญ ได้แก่ ข้อ ๒ รัฐบาลไทยไม่ผูกพันคำประกาศหรือแสดงท่าทีที่มีวัตถุประสงค์เปลี่ยนแปลงขอบเขตทางกฎหมายตามบทบัญญัติและไม่ผูกพันกฎหมายภายในใดๆที่ไม่สอดคลองกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๓ การให้สัตยาบันของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไม่เป็นการรับรองหรือยอมรับการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ของรัฐภาคีใดๆ    ข้อ ๔ รัฐบาลไทยเข้าใจว่าในเขตเศรษฐกิจจำเพาะการอุปโภคเสรีภาพในการเดินเรือที่สอดคลองกับบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องของอนุสัญญาฯ ไม่รวมถึงการใช้ทะเลในทางไม่สันติโดยปราศจากความยินยอมของรัฐชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฝึกทางทหาร หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจกระทบต่อสิทธิและผลประโยชนของรัฐชายฝั่ง และไม่รวมถึงการคุกคามหรือการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดน เอกราชทางการเมือง สันติภาพ หรือความมั่นคงของรัฐชายฝั่ง

อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (United Nations Convention on the Law of the Sea 1982) หลักเกณฑ์การกำหนดเขตแดนทางทะเล ภาคที่ ๒ ทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง หมวด ๒ ขอบเขตของทะเลอาณาเขต บทความที่ ๑๕ การกำหนดขอบเขตน่านน้ำอาณาเขตระหว่างรัฐที่มีฝั่งตรงข้ามหรือติดๆ กัน          (Article 15 Delimitation of the territorial sea between States with opposite or adjacent coasts)  “ในกรณีที่ชายฝั่งของรัฐทั้งสองอยู่ตรงข้ามกันหรืออยู่ติดกันรัฐทั้งสองไม่มีสิทธิ์ที่จะขยายน่านน้ำอาณาเขตของตนออกไปเกินเส้นกึ่งกลางซึ่งจุดทุกจุดอยู่ห่างจากจุดที่ใกล้ที่สุดบนเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของน่านน้ำอาณาเขตของรัฐทั้งสองเท่ากัน หากไม่ตกลงกันเป็นอย่างอื่น บทบัญญัติข้างต้นจะไม่นำไปใช้ในกรณีที่จำเป็นต้องกำหนดขอบเขตน่านน้ำอาณาเขตของรัฐทั้งสองในลักษณะที่แตกต่างกันเนื่องจากเหตุผลทางกรรมสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์หรือสถานการณ์พิเศษอื่น

ประวัติศาสตร์ปัญหาเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อ ..๒๔๕๐ สนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศส กำหนดหลักเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ ๗๓ ..๒๔๙๖ ประเทศกัมพูชาได้รับอิสรภาพจากประเทศฝรั่งเศส พ.ศ.๒๕๐๙ ประเทศไทยประกาศทะเลอาณาเขต พ.ศ.๒๕๑๒ ประเทศไทยประกาศใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล พ.ศ.๒๕๑๓ ไทยกับกัมพูชาเริ่มเจรจาปัญหาเขตไหล่ทวีป พ.ศ.๒๕๑๕ ประเทศกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีป พ.ศ.๒๕๑๖ ประเทศไทยได้ประกาศเขตไหล่ทวีป และทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล ประมาณ ๒๖,๐๐๐  ตารางกิโลเมตร ซึ่งคาดว่าในพื้นที่นี้จะมีทรัพยากรธรรมชาติทางพลังงานที่อุดมสมบูรณ์        พ.ศ.๒๕๒๑ ประเทศกัมพูชาประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะ พ.ศ.๒๕๒๔ ประเทศไทยประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะ พ.ศ.๒๕๒๕ ประเทศกัมพูชาประกาศทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง พ.ศ.๒๕๓๘ ประเทศไทยประกาศเขตต่อเนื่องและ   เมื่อ ๑๘ มิ.ย.พ.ศ.๒๕๔๔ ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๔  (MOU 44) โดย นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศ กับนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสและประธานการปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

 ปัญหาเรื่องเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา ประเทศกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปเมื่อ       พ.ศ. ๒๕๑๕ และประเทศไทยประกาศเขตไหล่ทวีป เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ และประเทศไทยประกาศเขตไหล่ทวีป เมื่อ           พ.ศ. ๒๕๑๖ โดยไทยยึดหลักเกณฑ์การแบ่งเขตทางทะเลตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล(UNCLOS 1982 ข้อ ๑๕ ) ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา ประมาณ ๒,๖๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ได้แก่ ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง เขตเศรษฐกิจจำเพาะ ไหล่ทวีป และ ในส่วนของน่านน้ำภายในบริเวณรอบเกาะกูดซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของไทยและตามกฎหมายทะเล UNCLOS 1982




ภาพที่ ๓ การลากเส้นอาณาเขตทางเขตทะเลที่ใช้หลักเกณฑ์กำหนดเขตแดนทางทะเลที่แตกต่างกันระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างทั้งสองประเทศ

ที่มา https://www.un.org/oceancapacity/sites/www.un.org.oceancapacity/files/sam_31dec_correction_pic24.pdf

ข้อสังเกต แผนที่แนบการประกาศไหล่ทวีปของกัมพูชา ในปี ๒๕๑๖ แผนที่ได้ลากเส้นเขตแดนจากหลักเขตที่ ๗๓   (Point A) ตัดผ่านเกาะกูดของไทย ไป P(Point P) ทำให้น่านน้ำภายในรอบๆเกาะกูดซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์ของไทยอยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทางทะเลของกัมพูชาซึ่งผิดหลักเกณฑ์การกำหนดอาณาเขตทางทะเลตาม UNCLOS 1982 สำหรับประเทศไทยกำหนดเขตไหล่ทวีปโดยยึดตามหลักเกณฑ์ของ UNCLOS 1982

หมายเหตุ

) แผนที่ประกาศไหล่ทวีปของกัมพูชา ตามกฤษฎีกาที่ 439/72/PRK ลง ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๕ มีความแตกต่าง ดังนี้ (๑) กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาแถลงข่าวเมื่อ ๑ กรกกาคม พ..๒๕๑๕ ชี้แจงกฤษฎีกา 439/72/PRK ว่าเป็นแบบลากเส้นอาณาเขตทางทะเลจากหลักเขตที่ ๗๓ (Point A) ตัดผ่านยอดเกาะกูดแล้วลากต่อออกจากตัวเกาะด้านทิศตะวันตกไปยังจุด P (Point P) กลางอ่าวไทย (๒) แผนที่เดินเรือของกรมอุทกศาสตร์ฝรั่งเศสที่ใช้เป็นแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกา439/72/PRK จะลากเส้นอาณาเขตจากหลักเขตที่ ๗๓ มาหยุดอยู่ที่ตัวเกาะด้านทิศตะวันออก/เว้นตัวเกาะ/แล้วลากต่อออกจากตัวเกาะด้านทิศตะวันตกไปยังกลางอ่าวไทย (๓) ส่วนแผนผังแนบท้าย MOU 2544 ใช้แบบลากเส้นอาณาเขตจากหลักเขตที่ ๗๓ เมื่อถึงเกาะกูดจะเป็นเส้นโค้งเว้าอ้อมประชิดตัวเกาะด้านทิศใต้เป็นรูปตัว U แล้วลากต่อออกจากตัวเกาะไปกลางอ่าวไทย








ภาพที่  หนังสือสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสิเดนต์แห่งปับลีกฝรั่งเศส เมื่อ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕   ข้อ ๑ ระบุว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย สัญญาแนบท้าย ข้อ ๑ การใช้ยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดในการเป็นจุดอ้างอิงในการปักปันเขตแดนทางบกของฝรั่งเศสกับไทยจึงไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ในการกำหนดเขตแดนทางทะเลในการกำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาในปี ๒๕๑๕ ตามที่กัมพูชาใช้อ้างหลักฐานฉบับนี้)

ที่มา:หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๕"ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๒๔,

ประเทศกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีป เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ โดยได้ลากเส้นเขตแดนจากหลักเขตที่ ๗๓ ไปตัดผ่านยอดเกาะกูดออกไปอ่าวไทย โดยอ้างว่ายึดตามหลักฐานประวัติศาสตร์ในเอกสารสัญญาว่าด้วยปักปันเขตร์แดนติดท้ายหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับฝรั่งเศส ลง ๒๓ มีนาคม ร..๑๒๕ ข้อ ๑ที่ว่า เขตร์แดนในระหว่าง     กรุงสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ตั้งแต่ชายเลที่ตรงข้ามจากยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเปนหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน และเปนที่เข้าใจกันชัดเจนว่าฟากไหล่เขาเหล่านี้ข้างทิศตะวันออกรวมทั้งที่ลุ่มน้ำคลองเกาะปอด้วยนั้นต้องคงเปนดินแดนฝ่ายอินโดจีนของฝรั่งเศสแล้วเมื่อพิจารณาจากข้อมูลประวัติศาสตร์ฉบับนี้ซึ่งไทยกับกัมพูชาใช้อ้างอิงร่วมกันจะเห็นว่า ฝรั่งเศสใช้ยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเป็นจุดอ้างอิงในการปักปันเขตแดนทางบกไม่ใช่หลักเกณฑ์การกำหนดเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับฝรั่งเศสตามหนังสือสัญญาฉบับนี้ ดังนั้นการที่กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปโดยลากเส้นเขตแดนผ่านพาดผ่านยอดเกาะกูดจึงไม่ถูกต้องตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับฝรั่งเศสฉบับนี้ ซึ่งการลากเส้นอาณาเขตไหล่ทวีปผ่านพาดผ่านยอดเกาะกูดของกัมพูชาทำให้น่านน้ำภายในของประเทศไทยเป็นพื้นที่น่านน้ำของกัมพูชาซึ่งเกินกว่าสิทธิ์ตามกฎหมายทะเลและละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย และเมื่อตรวจสอบกับเอกสารประวัติศาสตร์หนังสือสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสิเดนต์แห่งปับลีกฝรั่งเศส เมื่อ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕(ค.ศ. ๑๙๐๗ ข้อ ๒ ระบุว่า รัฐบาลฝรั่งเศสยกดินแดนเมืองด่านซ้ายแลเมืองตราดกับเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดให้แก่กรุงสยามดังนั้นเกาะกูดจึงเป็นแผ่นดินของประเทศไทยรวมถึงน่านน้ำภายในรอบเกาะกูดซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของไทยโดยสมบูรณ์ ดังนั้นแม้ว่าในแผนที่ประกาศไหลทวีปของกัมพูชา ปี พ.ศ.๒๕๑๕ จะลากเส้นเขตแดนจากหลักเขตที่ ๗๓ ไปตัดผ่านยอดเกาะกูด และอ้างสิทธิ์น่านน้ำภายในเป็นน่านน้ำกัมพูชานั้น จึงไม่ถูกต้องตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสซึ่งทั้งสองประเทศได้อ้างอิงและไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ (United Nations Convention on the Law of the Sea 1982: UNCLOS 1982) ซึ่งถือว่า UNCLOS 1982 ในฐานะกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น รัฐธรรมนูญแห่งท้องทะเลมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ และใน พ.ศ.๒๕๕๙ มีประเทศภาคี ๑๖๘ ประเทศเข้าร่วมอนุสัญญานี้ และในฐานะที่ประเทศกัมพูชาและประเทศไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและสมาชิกของประชาคมอาเซียน จึงควรต้องยึดถือกฎบัตรอาเซียน และกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งชาติที่เข้าเป็นสมาชิกให้สัตยาบันเข้าผูกพันกฎ หลักเกณฑ์ ข้อกำหนดของสมาชิกที่ควรต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดในการแก้ปัญหาระหว่างรัฐอย่างสันติวิธี



ภาพที่ ๕  บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

ที่มา: พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา,จุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

เมื่อ ๑๘ มิ.ย.พ.ศ.๒๕๔๔ ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน โดยกำหนดเงื่อนไขและกลไกการเจรจาระหว่างสองฝ่าย ประกอบด้วย กลไกคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) รวมถึงกลไกย่อย ได้แก่ Sub-JTC ๒ คณะ และกำหนดหลักการให้ต้องเจรจา ๒ เรื่องควบคู่กันไปในลักษณะที่แบ่งแยกไม่ได้ (Indivisible package) ได้แก่ ๑) การกำหนดเขตแดนทางทะเล (Delimitation) สำหรับทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ บริเวณเหนือเส้นละติจูดเหนือที่ ๑๑ และ ๒) การกำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมสำหรับการจัดการผลประโยชน์จากทรัพยากรบริเวณใต้เส้นละติจูดเหนือที่ ๑๑




ภาพที่ ๖ แผนที่แนบท้ายบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๔ (MOU 44)

ที่มาแผนที่แนบท้าย MOU44: Cambodia National Petroleum Authority

ที่มาแผนที่เปรียบเทียบการอ้างสิทธิ์กัมพูชา: ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับ OCAไทย-กัมพูชา,พลเรือเอก พัลลภ ตมิศานนท์

ที่มาแผนที่แปลงสัมปทานในพื้นที่ OCA : สำนักงานกำกับกิจการพลังงาน

แผนที่แปลงสัมปทานในพื้นที่ OCA จากข้อมูลกรุงเทพธุรกิจ (๑๔ ก..๖๕) เรื่อง เปิดข้อมูลพื้นที่ทับซ้อนไทย กัมพูชา แหล่งพลังงานในอนาคต ระบุว่า ผู้รับสัมปทานพื้นที่ทับซ้อนจากรัฐบาลไทยเมื่อ พ.. ๒๕๑๑ แบ่งเป็น ๕ ส่วน ปัจจุบันสิทธิสัมปทานยังคงเป็นของผู้รับสัมปทาน โดยรัฐบาลไม่ได้ประกาศยกเลิกเพื่อเป็นการยืนยันว่าประเทศไทย        ยังอ้างสิทธิอย่างสมบูรณ์ในพื้นที่ทับซ้อน ได้แก่ ๑.) แปลง B5 และ B6 คือ Idemitsu Oil ๕๐% , Chevron E&P ๒๐% ,Chevron ๑๐% ,Mitsui Oil Exploration ๒๐% ๒) แปลง B7,B8, B9 คือ British Gas Asia ๕๐ % Chevron Overseas ๓๓ % , Petroleum Resources ๑๖.๖๗ % ๓) แปลง B10 และ B11 คือ Chevron Thailand E&P ๖๐ % , Mitsui Oil Exploration ๔๐ % ๔) แปลง B12 และ B13 คือ Chevron Thailand E&P ๘๐% , Mitsui Oil Exploration ๒๐% ๕ ) แปลง G9/43 และ B14 ผู้รับสิทธิ คือ บริษัท ปตท.ปิโตรเลียม จำกัด

ข้อสังเกต แผนที่แนบท้ายบันทึกความเข้าใจ MOU 44 ไม่ตรงกับแผนที่แนบการประกาศไหล่ทวีปของกัมพูชา ในปี พ..๒๕๑๖ ตรงบริเวณเกาะกูด โดยประกาศเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเป็นการขีดเส้นอาณาเขตตัดกลางเกาะกูด แต่ในแผนที่แนบ MOU 44 มีการลากเส้นอ้อมเกาะกูด ซึ่งเป็นหลักฐานแสดงว่ากัมพูชายอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทย แต่เส้นที่ลากจากหลักเขตที่ ๗๓ มายังเกาะกูดทำให้ประเทศไทยเสียน่านน้ำภายในให้กับกัมพูชาตามอ้างแผนที่แนบท้าย MOU 44 ซึ่งไม่ถูกต้องตาม UNCLOS 1982 และหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งทั้งสองประเทศยอมรับในการมาอ้างอิงในการแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนไทยกับกัมพูชาคือ หนังสือสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสิเดนต์แห่งปับลีกฝรั่งเศส เมื่อ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕ ที่กำหนดว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทยดังนั้นตาม UNCLOS1982 การกำหนดเส้นฐานตรงจากเกาะกูดและชายฝั่งของประเทศไทยจะทำให้เกิดน่านน้ำภายในรอบเกาะกูด ดังนั้นตามหลักเกณฑ์กฎหมายระหว่างประเทศนี้ กัมพูชาไม่มีสิทธิ์ที่จะอ้างสิทธิ์น่านน้ำภายในบริเวณเกาะกูดของ      ประเทศไทยเพราะเป็นอำนาจอธิปไตยเหมือนเป็นแผ่นดินไทย

แผนที่แนบท้ายบันทึก MOU 44 การลากเส้นเขตทางทะเลของกัมพูชาผ่านอ้อมเกาะกูดในลักษณะ    เกินสิทธิ์และไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายทะเลอันเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยเช่นนี้     ทำให้เกิดพื้นที่อ้างเกินสิทธิ์ของกัมพูชาขึ้นในพื้นที่ OCA มีขนาด ๑๒,๓๓๑ ตารางกิโลเมตร(พื้นที่สีแดง)หรือประมาณ ๔๖.๗% ของพื้นที่ OCA ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้ควรเป็นพื้นที่อาณาเขตของประเทศไทยโดยชอบธรรมตามหลักเกณฑ์การกำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลตามกฎหมายทะเล UNCLOS 1982 ส่วนพื้นที่ OCA ที่เหลือ(พื้นที่สีเขียว)จำนวน ๑๔,๐๖๙ ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นที่ที่แต่ละฝ่ายสามารถอ้างสิทธิ์ตามกฎหมายทะเลว่าเป็นเขตไหล่ทวีปของตนทั้งนี้หากประเทศไทยยอมให้นำทรัพยากรได้แก่น้ำมันและแก็สธรรมชาติในพื้นที่ OCA ในพื้นที่อ้างเกินสิทธิ์ของกัมพูชา(พื้นที่สีแดง)และในส่วนที่ไทยอ้างตามสิทธิ์ที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชามาแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกับกัมพูชา ย่อมจะไม่ยุติธรรมต่อฝ่ายไทยเพราะกัมพูชาไม่มีสิทธิ์ในทรัพยากรธรรมชาติในส่วนพื้นที่อ้างเกินสิทธิ์ของกัมพูชาตั้งแต่ต้น

การตรวจสอบเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาที่ทำให้เกิดพื้นที่ที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันตามหลักเกณฑ์กฎหมายระหว่างประเทศ

UNCLOS 1982 PART II :Territorial Sea and Contiguous Zone, Section 2 :Limits of the Territorial Sea, Article 15: Delimitation of the territorial sea between States with opposite or adjacent coasts

“Where the coasts of two States are opposite or adjacent to each other, neither of the two States is entitled, failing agreement between them to the contrary, to extend its territorial sea beyond the median line every point of which is equidistant from the nearest points on the baselines from which the breadth of the territorial seas of each of the two States is measured. The above provision does not apply, however, where it is necessary by reason of historic title or other special circumstances to delimit the territorial seas of the two States in a way which is at variance therewith.”

UNCLOS 1982 ข้อ ๑๕ การกำหนดขอบเขตน่านน้ำอาณาเขตระหว่างรัฐที่มีฝั่งตรงข้ามหรือติดๆ กัน

      ในกรณีที่ชายฝั่งของรัฐทั้งสองอยู่ตรงข้ามกันหรืออยู่ติดกัน รัฐทั้งสองไม่มีสิทธิ์ที่จะขยายน่านน้ำอาณาเขตของตนออกไปเกินเส้นกึ่งกลางซึ่งจุดทุกจุดอยู่ห่างจากจุดที่ใกล้ที่สุดบนเส้นฐานที่ใช้วัดความกว้างของน่านน้ำอาณาเขตของรัฐทั้งสองเท่ากัน หากไม่ตกลงกันเป็นอย่างอื่น บทบัญญัติข้างต้นจะไม่นำไปใช้ในกรณีที่จำเป็นต้องกำหนดขอบเขตน่านน้ำอาณาเขตของรัฐทั้งสองในลักษณะที่แตกต่างกันเนื่องจากเหตุผลทางกรรมสิทธิ์ทางประวัติศาสตร์หรือสถานการณ์พิเศษอื่น

หลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ อนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.๑๙๕๘ และ UNCLOS 1982       กำหนดว่ารัฐชายฝั่งทุกรัฐมีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะประกาศเขตไหล่ทวีป ๒๐๐ ไมล์ทะเลนับจากเส้นฐาน โดยประเทศกัมพูชาประกาศเส้นฐาน ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์ในการประกาศทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ จำนวน      ๓ ครั้ง ในปี ค..๑๙๕๗ (พ..๒๕๐๐),ปี ค.ศ.๑๙๗๒ (พ.ศ.๒๕๑๕) และ ปี ค.ศ.๑๙๘๒ (พ.ศ.๒๕๒๕) โดยอาศัยหลักการที่ระบุเอาไว้ในอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.๑๙๕๘ และ UNCLOS 1982 แต่การประกาศเส้นฐานแต่ละครั้งของกัมพูชาใช้หลักเกณฑ์ที่แตกต่างกันคือ ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ และปี พ.ศ.๒๕๑๕ ใช้เกาะที่ใกล้ชายฝั่งเป็นเกณฑ์ แต่ครั้งหลังสุดกำหนดจุดเส้นฐานตรงจากเกาะต่างๆที่อยู่ห่างชายฝั่งออกไปเป็นเกณฑ์ ส่วนประเทศไทยการประกาศทะเลอาณาเขตและไหล่ทวีปของไทยก็อาศัยหลักเกณฑ์การกำหนดเส้นฐานเช่นเดียวกัน โดยใช้วิธีกำหนดเส้นฐานตรงจากชายฝั่งเป็นสำคัญ ทั้งนี้จากการประกาศเขตไหล่ทวีปของทั้งสองประเทศทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนทางทะเลระหว่างกัน ทั้งนี้ตามหลักกฎหมายทะเล พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลต้องได้รับการแบ่งปันโดยใช้หลักการของความเท่าเทียม  (Equitable Principle) และความเป็นธรรม ซึ่งต้องอาศัยการเจรจาระหว่างรัฐ ทั้งไทยและกัมพูชาร่วมกันต่อไป 

การตรวจสอบความถูกต้องของเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาที่ทำให้เกิดพื้นที่ที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ โดยอ้างอิงข้อมูลจากเอกสารทางราชการของประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบเส้นเขตแดนทางทะเลที่แบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างทั้งสองประเทศ สรุปดังนี้

๑.       แผนที่อ้างอิงและหลักเกณฑ์การพิจารณาตามกฎหมายทะเล UNCLOS ได้แก่

     ๑.เอกสารทางราชการของประเทศกัมพูชา ได้แก่ ๑)แผนที่แนบท้าย MOU 44 แผนที่ฯ มี       การขีดเส้นอาณาเขตทางทะเลของประเทศกัมพูชาจากหลักเขตที่ ๗๓ ลากเส้นตรงมีทิศทางไปยังยอดเกาะกูด ไปบรรจบกับชายฝั่งด้านตะวันออกของเกาะกูด โดยขีดเส้นอ้อมพื้นที่ทางบกหรือแผ่นดินบนเกาะกูดโดยมิได้พาดผ่านกลางเกาะกูดแต่อย่างใด จากนั้นเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาเริ่มต้นจากชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะกูด และต่อออกไปในทะเลจนถึงจุดที่ ๒ ของการประกาศไหล่ทวีปของกัมพูชา หรือสามารถสรุปได้ว่าไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ปรากฏในแผนที่แนบท้าย MOU 44 นั้นมิได้พาดผ่านหรือเว้นเกาะกูดไว้ แม้ว่าจะเป็นการยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของไทยแต่ก็ทำให้เกิดพื้นที่อ้างเกินสิทธิ์ของกัมพูชาคือพื้นที่น่านน้ำภายในซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย และ ๒) การประกาศเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา พ.ศ. ๒๕๑๕ เอกสารการประกาศไหล่ทวีปในปี พ.ศ.๒๕๑๕ โดยการขีดเส้นอาณาเขตของประเทศกัมพูชาตัดกลางเกาะกูด โดยกัมพูชามีเหตุผลประกอบในการอ้างสิทธิ์คือ หลักฐานทางประวัติศาสตร์โดยเส้นที่ออกจากแผ่นดินพาดผ่านเกาะกูดนั้นกัมพูชาอ้างว่าเป็นไปตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จากนั้นกัมพูชาใช้เส้นมัธยะโดยการต่อขยายเส้นดังกล่าวออกไปในทะเลจนถึงจุดที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างเกาะกัสโรวีย์กับชายฝั่งของไทย  ทำให้เกิดพื้นที่อ้างเกินสิทธิ์ของกัมพูชาคือเกาะกูดเป็นของกัมพูชาตลอดจนพื้นที่น่านน้ำภายในซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยอันเนื่องมาจากการใช้แผนที่แนบท้ายสนธิสัญญาฯ ที่ส่งผลอันเป็นคุณต่อกัมพูชาแต่มิได้คำนึงถึงเนื้อหาที่มีการระบุเกี่ยวกับรายละเอียดของเส้นที่ปรากฏในแผนที่แนบท้ายแต่อย่างใด) และ ๓) การประกาศเส้นฐานตรงซึ่งใช้เป็นเกณฑ์ในการประกาศทะเลอาณาเขตไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศกัมพูชา (Cambodia’s straight baseline ..๑๙๕๗ค.ศ.๑๙๗๒, และ ค.ศ. ๑๙๘๒



                                                                 Figure 1: 1957    

                                                                    Figure 1: 1972             

             


                                                                        Figure 3:1982

ภาพที่ ๗ การประกาศเส้นฐานตรงอาณาเขตทางทะเลของประเทศกัมพูชา (Cambodia’s straight baseline)

ที่มา: วารสารวิชาการโรงเรียนนายเรือ โดย น.อ.สมาน  ได้รายรัมย์

 

    ๑.เอกสารทางราชการของประเทศไทย ประเทศไทยจะใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งทั้งสองประเทศยอมรับในการมาอ้างอิงในการแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนไทยกับกัมพูชาคือ ๑) หนังสือสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสิเดนต์แห่งปับลีกฝรั่งเศส เมื่อ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕ ที่กำหนดว่าเกาะกูดเป็นของไทยและ ๒) การประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๖ โดยประเทศไทยได้กำหนดเส้นแบ่งทะเลอาณาเขตระหว่างไทยกับกัมพูชา บริเวณ จว.ตราด โดยใช้วิธีการที่เรียกว่าเส้นแบ่งครึ่งมุม (Bi-Sector) โดยแขนของมุมด้านฝั่งของไทยคือเส้นตรงที่เชื่อมต่อระหว่างจุดที่ ๑ (หลักเขตที่ ๗๓) ของการประกาศไหล่ทวีปของไทยไปสัมผัสกับชายฝั่งด้านตะวันออกของเกาะกูด แขนของมุมอีกด้านหนึ่งคือเส้นตรงที่เชื่อมต่อระหว่างจุดที่ ๑ ของการประกาศไหล่ทวีปของไทยไปสัมผัสกับชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะกง จากจุดที่ ๑ ไปยังจุดที่ ๒ ของการประกาศไหล่ทวีปของไทยคือเส้นแบ่งครึ่งมุมดังกล่าว ทั้งนี้เส้นแบ่งครึ่งมุมคือการปรับแต่งเส้นมัธยะวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้เส้นมัธยะที่มีความคดเคี้ยวมีลักษณะเป็นเส้นตรง ไม่ทำให้เกิดความสลับซับซ้อนในการนำไปใช้งาน โดยทิศทางของจุดที่ ๑ ไปยังจุดที่ ๒ นั้นมีทิศทางไปในแบริ่ง ๒๑๑ การลากจากหลักเขตที่ ๗๓ ไปทางทิศแบริ่งที่ ๒๑๑ เป็นการแบ่งเขตตามหลักเกณฑ์ UNCLOS ข้อ ๑๕ และ ๓) การกำหนดเส้นฐานอาณาเขตทางทะเลของประเทศไทย

   ๑.๓ หลักเกณฑ์การกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนของรัฐที่มีชายแดนติดกันตามหลักเกณฑ์อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ (United Nations Convention on the Law of the Sea 1982: UNCLOS 1982) จุดประสงค์หลักในการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างรัฐตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญาสหประชาชาติ คือการแบ่งเขตแดนทางทะเลต้องบรรลุผลแห่งความเที่ยงธรรม (Equitable solution) และ ได้บัญญัติจุดเริ่มต้นการวัดความกว้างของเขตทางทะเลไว้ ๓ ประเภท คือ เส้นฐานปกติ เส้นฐานตรง และเส้นฐานรัฐหมู่เกาะ และใน UNCLOS 1982 ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓ ว่าหากปรากฏว่าพื้นที่ที่อยู่เหนือน้ำขณะน้ำลด (Low Tide Elevation: LTE) ทั้งหมดหรือบางส่วนอยู่ในบริเวณทะเลอาณาเขต ก็สามารถใช้แนวน้ำลงต่ำสุดของพื้นที่ที่อยู่เหนือน้ำขณะน้ำลดเป็นเส้นฐานหรือจุดเริ่มต้นในการวัดอาณาเขตทางทะเลก็ได้ แต่ลักษณะของภูมิประเทศบริเวณชายฝั่งหลายประเทศมีลักษณะโค้ง หรือประกอบด้วยเกาะ หิน และสิ่งปลูกสร้างที่ยื่นไปในทะเลที่ถูกสามารถนำมากำหนดเป็นจุดเชื่อมต่อของเส้นฐานตรงมีความคลุมเครือในการนำมาร่วมพิจารณา จึงมีการนำเสนอแนวคิดเรื่อง             “The Equi–Area/Ratio” มาใช้ในการแบ่งเขตแดนทางทะเล โดยอาศัยเทคโนโลยีด้านระบบภูมิสารสนเทศ (Geographic Information System: GIS) ช่วยวิเคราะห์และประมวลผล สำหรับการปรับแต่งเส้นเขตแดนทางทะเลเพื่อให้บรรลุผลแห่งความเที่ยงธรรม และเกิดการยอมรับ โดยวิธีการนี้ได้ทำการทดสอบกับผลการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการพิจารณาคดีขัดขัดแย้งเรื่องเขตแดนทางทะเลระหว่างรัฐโดยผลการทดสอบพบว่า ผลที่เกิดจากวิธีการดังกล่าวใกล้เคียงกับผลการตัดสินของศาลฯ ซึ่งเป็นการพิสูจน์และยืนยันว่าวิธีการดังกล่าวสามารถนำไปใช้งานได้จริง นอกจากนี้ปัจจุบันพบว่าการใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ต้องอาศัยการตีความนั้น ส่งผลให้เกิดการตีความที่แตกต่างกัน การยืนยันด้วยวิธีการทางที่เกิดจาการนำสภาวะแวดล้อมทางกายภาพมาพิสูจน์ที่ให้ผลเป็นรูปธรรมดูจะได้รับการยอมรับมากกว่าการใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ การตีความ และการปรับแต่งเส้นมัธยะที่เกิดจากข้อมูลที่ไม่สามารถยืนยันได้ทางกายภาพเพื่อให้บรรลุผลแห่งความเที่ยงธรรม สำหรับการตรวจสอบการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างเกาะกูดของไทยกับเกาะกงของกัมพูชาตามหลักวิชาการ“The Equi–Area/Ratio”จะเริ่มต้นจากการใช้เส้นฐานและการประกาศเขตแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศนำมาพิจารณากำหนดเส้นมัธยะการแบ่งเขตแดนทางทะเลบริเวณระหว่างเกาะกูดของไทยกับเกาะกงของกัมพูชา ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยเรื่อง Do Solutions to International  Security  Issues of Poorly Defined Maritime Boundaries Require Legal, Political, and Technical Tools โดย น.อ.สมาน  ได้รายรัมย์ ในวารสารวิชาการโรงเรียนนายเรือ ได้เป็นการวิจัยในเรื่องการกำหนดเส้นเขตแดนทางทะเล OCA ระหว่างไทยกับกัมพูชาตามหลักเกณฑ์ของ UNCLOS 1982 โดยใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ (The Equi-Area/Ratio is a method for maritime delimitation) มาช่วยในการคำนวณโดยใช้ข้อมูลการกำหนดเส้นฐานและการประกาศเส้นไหล่ทวีปของไทยและกัมพูชามาวิจัย โดยวิธีการดังกล่าวนั้นมุ่งเน้นการพิสูจน์และการสร้างเส้นเขตแดนทางทะเลที่ให้ผลลัพธ์เชิงตัวเลขเพื่อให้เกิดการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย โดยปัจจัยที่แต่ละฝ่ายนำมาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณานั้นสามารถใช้ได้ทั้งเกาะหรือหิน โดยไม่มีข้อจำกัดทั้งในเรื่องของขนาดและระยะทางจากแผ่นดิน หรือการใช้เส้นฐานตรงของแต่ละฝ่ายเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาก็สามารถกระทำได้

. ผลงานวิจัยเรื่อง การกำหนดเส้นเขตแดนทางทะเล OCA ระหว่างไทยกับกัมพูชา ของ น.อ.สมาน         ได้รายรัมย์ สรุปว่าเมื่อนำเส้นฐานของกัมพูชาและเส้นฐานของไทยมาพิจารณาด้วยวิธีการที่เรียกว่า Euclidean Allocation สามารถกำหนดเป็นเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลบริเวณระหว่างเกาะกูดของไทยกับเกาะกง โดยผลการวิจัยพบว่า การกำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลในแนวแบริ่งที่ ๒๑๑ ตามที่ประเทศไทยประกาศเขตไหล่ทวีปจะถูกต้องตาม UNCLOSS 1982 ข้อ ๑๕ แต่การกำหนดเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา พ.ศ. ๒๕๑๕ ที่ได้จากการวิเคราะห์ด้วยวิธีการ Euclidean Allocation พบว่าไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของเส้นฐานตามที่ประเทศตนเองประกาศมาเป็นจุดตั้งต้นในการกำหนดเขตแดนทางทะเลของประเทศกัมพูชาประกอบการพิจารณาในการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างเกาะกงของกัมพูชากับเกาะกูดของไทย อีกทั้งไม่ใช้หลักเกณฑ์ในข้อ ๑๕ ตาม UNCLOS 1982 ดังนั้นการประกาศไหล่ทวีปของกัมพูชา พ.ศ ๒๕๑๕ และแผนที่แนบท้าย MOU จึงเป็นแผนที่ที่ไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ            ในอดีตที่ผ่านมาการสร้างเส้นต่างๆ ของรัฐชายฝั่งยังไม่มีเครื่องมือหรือวิธีการที่สามารถตรวจสอบเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่แต่ละฝ่ายได้สร้างขึ้นมานั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ เป็นเพียงแต่การกล่าวอ้างว่าสิ่งที่ฝ่ายตนได้สร้างหรือกำหนดขึ้นมานั้นมีความเที่ยงธรรม แต่ก็เป็นเพียงมุมมองเพียงฝ่ายเดียวที่ไม่ได้รับการยอมรับจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด ปัจจัยที่แต่ละฝ่ายนำมาเป็นเหตุในการสร้างความเที่ยงธรรมจึงก่อให้เกิดความแตกต่างและไม่ยอมรับของอีกฝ่าย

 



                                                Cambodia’s  continental shelf         

                       



Thailand’s  continental shelf  
 

ภาพที่ ๘ การแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างเกาะกูดของไทยกับเกาะกงของกัมพูชา โดย น.อ.สมาน  ได้รายรัมย์

ที่มา: ผลการวิจัย:The comparison between   Cambodia’s  continental shelf ,  Thailand’s  continental shelf with  the Euclidean Allocation median line โดย น.อ.สมาน  ได้รายรัมย์

หมายเหตุ ผลการวิจัย สรุปว่าเส้นแบ่งอาณาเขตทางทะเลระหว่างไทย(เกาะกูด)กับกัมพูชา(เกาะกง) โดยยึดหลักฐานจากเส้นฐานตรงของประเทศกัมพูชา (ค..๑๙๕๗ ค.ศ. ๑๙๗๒ ค.ศ.๑๙๘๒) และเส้นฐานตรงของประเทศไทยกับหลักเกณฑ์การกำหนดอาณาเขตทางทะเลตาม UNCLOS 1982 สรุปว่าเส้นแบ่งอาณาเขตทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาจะไม่ใช่เส้นที่ลากตรงจากหลักเขตที่ ๗๓ ตัดกลางเกาะกูดไปยังแบริ่ง ๒๗๐ กลางอ่าวไทยตามที่ประเทศกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีป พ..๒๕๑๕ และใน MOU 44 แต่จะเป็นเส้นจากหลักเขตที่ ๗๓ ไปในทิศประมาณแบริ่งที่ ๒๑๑ กลางอ่าวไทยตามที่ประเทศไทยประกาศเขตไหล่ทวีป พ.ศ.๒๕๑๖และเกาะกูดเป็นของไทย

สรุปผลการตรวจสอบเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาที่ทำให้เกิดพื้นที่ที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันตามหลักเกณฑ์กฎหมายระหว่างประเทศ โดยใช้หลักเกณฑ์การกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนของรัฐที่มีชายแดนติดกันตามหลักเกณฑ์อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ และผลงานวิจัย The comparison between Cambodia’s continental shelf ,  Thailand’s  continental shelf with  the Euclidean Allocation median line ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์หนึ่งได้ว่ากัมพูชาอ้างสิทธิ์ล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยบริเวณเกาะกูด ดังนั้นประเทศไทยจึงสามารถใช้สิทธิ์ตาม       กฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา ๕๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ และข้อสงวนสิทธิ์ของประเทศไทยตามประกาศแนบท้ายของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ และการยึดถือพื้นที่อาณาเขตของประเทศไทยตามการประกาศเขตไหล่ทวีป พ.ศ. ๒๕๑๖ ของไทยเป็นพื้นที่ที่ประเทศไทยต้องแสดงอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยและเขตอำนาจของรัฐของไทยเพราะเป็นพื้นที่ทางทะเลที่ชอบธรรมตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ



                                 พื้นที่ประไทยและปรเทศกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันบริเวณเกาะกูด


การประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ด้านอ่าวไทย



ภาพที่  พื้นที่ที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันบริเวณเกาะกูด(ซ้าย)การประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ด้านอ่าวไทย(กลาง) และการประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย(ขวา)

ที่มา: เอกสารพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลของไทยและกัมพูชา,ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์กองทัพเรือ

  ดังนั้นเพื่อให้การปฏิบัติการในพื้นที่ OCA ของหน่วยงานของไทยภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญของไทยและกฎบัตรสหประชาชาติและมีความชอบธรรมตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้นนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงทางทะเลเพื่อการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา ในเรื่อง การกำหนดขอบเขตพื้นที่ปฏิบัติการที่บังคับใช้แนวปฏิบัติของหน่วยใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายและการแสดงสิทธิอธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยในพื้นที่ OCA จึงอ้างอิงและยึดถือตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทย ด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖ ซึ่งเป็นการกำหนดอาณาเขตทางทะเลที่เป็นมาตรฐานตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ (ซึ่งแตกต่างจากการประกาศเขตไหล่ทวีป และ แผนที่แนบท้ายของ MOU 44 ซึ่งเป็นการกำหนดอาณาเขตและพื้นที่ทางทะเลที่ไม่ถูกต้องตาม UNLOS 1982)

ข้อพิจารณาหลักกฎหมายระหว่างประเทศในการกำหนดแนวปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ซึ่งมีสถานะเกี่ยวข้องกับการอ้างสิทธิทับซ้อน

หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒ (UNCLOS 1982) ได้กำหนดอำนาจและสิทธิอธิปไตยของรัฐชายฝั่งในแต่ละเขตทางทะเล (Maritime zones) โดยการอ้างสิทธิฝ่ายเดียวซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของการออกกฎหมายภายใน ก่อให้เกิดหน้าที่และอำนาจที่จะบังคับใช้กฎหมายเพื่อการรักษาสิทธิในเขตอำนาจของชาติ (National jurisdiction) ทางทะเล อย่างไรก็ดี หากรัฐซึ่งมีชายฝั่งประชิดหรือตรงข้ามกันมีการอ้างสิทธิเหนือไหล่ทวีปทับซ้อนกัน UNCLOS ข้อ ๘๓ ได้ระบุว่า ให้มีการตกลงร่วมกันบนมูลฐานของกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อให้บรรลุผลอันเที่ยงธรรม (Equitable solution) หรือใช้การระงับข้อพิพาทด้วยวิธีการอันสันติตามภาค ๑๕ อีกทั้งเสนอแนะให้รัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำข้อตกลงชั่วคราว (Provisional arrangements) เพื่อความร่วมมือระหว่างกันและมีลักษณะปฏิบัติได้ โดยจะไม่เป็นการเสื่อมเสียต่อการกำหนดเขตทางทะเลขั้นสุดท้าย ดังนั้น แนวปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนจึงสามารถกระทำได้ โดยพึงมีความสมดุลกับการรักษาบรรยากาศเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทอย่างสันติ อย่างไรก็ดี ขณะที่ UNCLOS ไม่ได้     ชี้ชัดถึงรูปแบบการจัดทำข้อตกลงชั่วคราวตามข้อ ๘๓ ขึ้นกับรัฐชายฝั่งทั้งสองรัฐ จะตกลงร่วมกันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้นการปฏิบัติของรัฐชายฝั่งซึ่งมีข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตทางทะเลระหว่างกัน จึงมีความแตกต่างกันหลายรูปแบบ สรุปจำแนกเป็นตัวเลือกทางนโยบาย (Policy options) ของประเทศไทยได้ ๔ ทางเลือก ดังนี้

ทางเลือกที่ ๑ การไม่ดำเนินการใด ๆ เพื่อรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ทางทะเลในพื้นที่ซึ่งตน   อ้างสิทธิเลย ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่ออำนาจและสิทธิอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของชาติตน และทำให้เสียเปรียบอำนาจในการต่อรองในการเจรจาแก้ปัญหาระหว่างรัฐและการเจรจาในพื้นที่ที่มีการเจรจาเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติด้วยความชอบธรรมตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ในกรณีของประเทศไทยซึ่งมีกำลังทางเรือได้เปรียบประเทศกัมพูชา การเลือกทางเลือกที่ ๑ เมื่อประเทศไทยอ้างสิทธิ์พื้นที่ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่ประเทศกัมพูชาอ้างสิทธิ์โดยไม่ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทางเลือกนี้จึงไม่ควรเลือกอย่างยิ่ง

ทางเลือกที่ ๒ การใช้กำลังเพื่อรักษาความได้เปรียบในพื้นที่พิพาทในลักษณะที่มุ่งก่อให้เกิดความเสียหายของรัฐคู่ขัดแย้ง อาทิ การใช้ Grey Zone Operations เช่น กรณีพิพาทเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศจีนกับฟิลิปปินส์ ซึ่งขัดต่อหลักการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยจะก่อให้เกิดผลกระทบด้านความมั่นคงปลอดภัยต่อเส้นทางเดินเรือและผู้ใช้ประโยชน์จากทะเลบริเวณใกล้เคียง รวมถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจอันเกิดจากการปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินเรือ ค่าธรรมเนียมประกันภัย และความเชื่อถือของนานาประเทศ และความมั่นคงทางทะเลของประชาคมอาเซียน ทั้งนี้ทางเลือกนี้มีความเสี่ยงในการดึงประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงนโยบายและแสวงประโยชน์จากท่าทีและการดำเนินการของประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ทำให้ปัญหามีความซับซ้อนยากต่อการแก้ปัญหาและอาจจะทำให้ทั้งสองประเทศสูญเสียผลประโยชน์ของชาติทางทะเลไปให้กับประเทศมหาอำนาจ หรืออาจจะเกิดกรณี Proxy War ก็อาจจะเป็นไปได้ทางเลือกนี้จึงไม่ควรเลือกในสภาวะแวดล้อมการเมืองระหว่างประเทศและในสถานการณ์ความมั่นคงทางทะเลในปัจจุบัน

ทางเลือกที่ ๓ การรักษาความมั่นคงและปกป้องผลประโยชน์ทางทะเลของประเทศไทยในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนโดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อแสดงสิทธิอธิปไตยและอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของประเทศไทยและการยึดมั่นและแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย ๕ ข้อ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ 

 ระดับนโยบาย วัตถุประสงค์เพื่อรักษาบรรยากาศระหว่างรัฐในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทอย่างสันติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และการรักษาสมดุลภูมิรัฐศาสตร์โดยใช้ความได้เปรียบของที่ตั้งของประเทศไทยในการเสริมสร้างรักษาความมั่นคงทางทะเลในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามันกับประเทศมหาอำนาจอย่างสร้างสรรค์และเป็นกลางทั้งจีน สหรัฐ อินเดีย และรัสเซีย และปฏิสัมพันธ์กับอาเซียนตามกรอบนโยบายด้านความมั่นคงทางทะเลของอาเซียน

ระดับปฏิบัติ วัตถุประสงค์ เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองในการเจรจาแก้ปัญหาระหว่างรัฐในเรื่อง    เขตแดนทางทะเลเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ในเขตอำนาจแห่งชาติของรัฐ(National Jurisdiction)ของประเทศไทยด้วยความชอบธรรมตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ในกรณีของประเทศไทยซึ่งมีกำลังทางเรือได้เปรียบประเทศกัมพูชา จึงควรต้องยึดหลักการแสดงสิทธิอธิปไตยและอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของประเทศไทยตามหลักเกณฑ์การแบ่งเขตแดนทางทะเลตาม UNCLOS 1982 ที่ประเทศไทยได้ยึดถือและใช้ในการเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลกับประเทศกัมพูชามาโดยตลอด โดยเฉพาะการยึดมั่นและแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย ๕ ข้อ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒  ได้แก่ พื้นที่อาณาเขตทางทะเลตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖ และประกาศเขตพื้นที่อาณาเขตทางทะเลของไทย ได้แก่ (๑) พื้นที่ทะเลบริเวณรอบเกาะกูดของไทยได้แก่ น่านน้ำภายใน,ทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง (๒) เขตเศรษฐกิจจำเพาะ และ (๓) เขตไหล่ทวีป สรุปในสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศและสถานการณ์ความมั่นคงทางทะเลในปัจจุบัน ประเทศไทยควรใช้ทางเลือกที่ ๓ นี้ สรุปเป็นแนวปฏิบัติของไทยในการรักษาความมั่นคงและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ OCA ดังนี้

แนวปฏิบัติของหน่วยงานระดับนโยบายในการรักษาความมั่นคงและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ OCA

นโยบาย/เป้าหมาย : แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ..๒๕๖๖-พ..๒๕๗๐) กำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศไทยไว้ว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในมิติความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พร้อมทั้งมีบทบาทสำคัญด้านความมั่นคงทางทะเล เป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ ด้วยการบูรณาการพลังอำนาจของชาติในทุกมิติโดยมีการสร้างเสริมความมั่นคงทางทะเลอย่างเป็นองค์รวม (Comprehensive security) ตามแนวคิดยุทธศาสตร์ชาติและสอดคล้องกับกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศ ตลอดจนในกรอบงานความมั่นคงของประชาคมอาเซียน

หน่วยงานระดับนโยบายที่รับผิดชอบ

        การกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาในการรักษาความมั่นคงและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่OCA ในระหว่างที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ดังนี้

๑.    คณะทำงานภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๔(MOU 44) ได้แก่ คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) และกลไกย่อย ได้แก่ Sub-JTC ๒ คณะ

๒.    หน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามขอบเขตอำนาจกฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ ในพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กองทัพเรือ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล กรมประมง กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ศูลกากร ตำรวจน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

ห้วงเวลาและสถานการณ์ที่บังคับใช้

       ตั้งแต่สถานการณ์ปกติจนถึงสถานการณ์ไม่ปกติ ตามมาตรา ๒๗ ใน พ... การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และ ในสถานการณ์วิกฤติจนถึงสถานการณ์การป้องกันประเทศ ตามแผนป้องกันประเทศทางทะเลของกองทัพเรือ

     ขอบเขตพื้นที่ปฏิบัติการที่บังคับใช้ในแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานระดับนโยบายในการรักษาความมั่นคงและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

          ได้แก่ พื้นที่อาณาเขตทางทะเลตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖ และประกาศเขตพื้นที่อาณาเขตทางทะเลของไทย ได้แก่ (๑) พื้นที่ทะเลบริเวณรอบเกาะกูดของไทยได้แก่ น่านน้ำภายใน,ทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง (๒) เขตเศรษฐกิจจำเพาะ และ (๓) เขตไหล่ทวีป

แนวปฏิบัติของหน่วยงานระดับนโยบายในการรักษาความมั่นคงและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

   แนวปฏิบัติของหน่วยงานระดับนโยบายในการรักษาความมั่นคงทางทะเลเพื่อการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา เป็นแนวปฏิบัติที่กำหนดขึ้นภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย   พ.ศ.๒๕๖๐  ว่าหน้าที่รัฐ คือรัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยมุ่งเน้นการรักษาเขตอำนาจแห่งชาติของรัฐ (National Jurisdiction) การรักษาอำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตยในการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติ แก็สธรรมชาติและน้ำมันที่อยู่ในเขตอำนาจแห่งชาติของรัฐ ของประเทศไทยตลอดจนกฎหมายภายใน กฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี โดยเฉพาะการยึดมั่นและแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย ๕ ข้อ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ (United Nations Convention on the Law of the Sea 1982 : UNCLOS 1982) ที่ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญา UNCLOS 1982 เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๕ และได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้แก่ ข้อ ๒ รัฐบาลไทยไม่ผูกพันคำประกาศหรือแสดงท่าทีที่มีวัตถุประสงค์เปลี่ยนแปลงขอบเขตทางกฎหมายตามบทบัญญัติและไม่ผูกพันกฎหมายภายในใดๆที่ไม่สอดคลองกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง ข้อ ๓ การให้สัตยาบันของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไม่เป็นการรับรองหรือยอมรับการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ของรัฐภาคีใดๆ ข้อ ๔ รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยเข้าใจว่าในเขตเศรษฐกิจจำเพาะการอุปโภคเสรีภาพในการเดินเรือที่สอดคลองกับบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องของอนุสัญญาฯ ไม่รวมถึงการใช้ทะเลในทางไม่สันติโดยปราศจากความยินยอมของรัฐชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฝึกทางทหาร หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจกระทบต่อสิทธิและผลประโยชน์ของรัฐชายฝั่ง และไม่รวมถึงการคุกคามหรือการใช้กำลังต่อบูรณภาพแห่งดินแดน สันติภาพ หรือความมั่นคงของรัฐชายฝั่ง

สรุปแนวปฏิบัติของหน่วยงานระดับนโยบายในการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ดังนี้

 (๑) ยืนยันการใช้และการรักษาซึ่งอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยในเขตทางทะเลของไทย ตามที่รัฐบาลไทยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรื่องเขตไหล่ทวีปของไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖ และการยึดมั่นและแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยที่แจ้งไว้ตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย ๕ ข้อ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล   ค.ศ.๑๙๘๒ (UNCLOS 1982) ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

 (๒) เตรียมความพร้อมของกรอบนโยบายที่ชัดเจนในการเจรจาขับเคลื่อนการแก้ปัญหาในเวทีการประชุมระดับต่างๆ เช่น การประชุม Navy Talks ของกองทัพเรือไทยกับกองทัพเรือกัมพูชา การประชุมผู้บัญชาการทหารเรืออาเซียน การประชุมของคณะกรรมการ JTC ในกลไก MOU44 และการเตรียมข้อมูลหลักฐานที่สำคัญเพื่อประกอบการเจรจาแก้ไขปัญหาของคณะผู้แทนรัฐบาลไทยในเวทีการเจรจากับกัมพูชา และเตรียมความพร้อมของกำลังของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ OCA และการสร้างการตระหนักรู้เท่าทันสถานการณ์ทางทะเล (Maritime Domain Awareness :MDA) เพื่อติดตามทุกกิจกรรมของกำลังทางเรือกัมพูชาและการกระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ OCA อย่างต่อเนื่องตลอด  ๒๔ ชม. โดยใช้ระบบ Big Data ของศูนย์ยุทธการของ ศรชล. ที่เชื่อมโยงกับระบบ MISS (Maritime Information Sharing System) ของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ ระบบ FMC ของศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทำประมงผิดกฎหมาย กรมประมง และระบบควบคุมการจราจร (Vessel Traffic Management Information System; VTMIS) ของกรมเจ้าท่า โดยให้ ศรชล. เป็นหน่วยงานหลักหากมีกรณีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล(ตามมาตรา ๒๗ ใน พ..บ การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล)ในการสรุปและวิเคราะห์สถานการณ์ทางทะเลในพื้นที่ OCA และ บูรณาการกำลังของหน่วยงานภายใต้ ศรชล.ในการดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานระดับนโยบายนี้ สำหรับกรณีที่มีการใช้กำลังทางเรือของกัมพูชาหรือกำลังทางเรือประเทศที่สามหรือสถานการณ์ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศตามแผนป้องกันประเทศ ให้ ทร. และ กห.เป็นหน่วยงานหลัก โดยให้ สมช. และ กต. เป็นหน่วยรับผิดชอบในระดับนโยบายในการวางแผนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกัน แก้ไข และจัดการสถานการณ์วิกฤติอันส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเลได้ทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

    (๓) ขับเคลื่อนความร่วมมือกับประเทศที่มีอาณาเขตทางทะเลติดต่อกันและประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีการดำเนินกิจกรรมในอ่าวไทย เพื่อการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของไทยอย่างสันติ

แนวปฏิบัติของหน่วยใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายและการแสดงสิทธิอธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยในพื้นที่ OCA

นโยบาย/เป้าหมาย : แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ.๒๕๖๖-พ.ศ.๒๕๗๐) กำหนดวิสัยทัศน์ของประเทศไทยไว้ว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในมิติความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พร้อมทั้งมีบทบาทสำคัญด้านความมั่นคงทางทะเล เป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ ด้วยการบูรณาการพลังอำนาจของชาติในทุกมิติโดยมีการสร้างเสริมความมั่นคงทางทะเลอย่างเป็นองค์รวม (Comprehensive security) ตามแนวคิดยุทธศาสตร์ชาติและสอดคล้องกับกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศ ตลอดจนในกรอบงานความมั่นคงของประชาคมอาเซียน

ห้วงเวลาและสถานการณ์ที่บังคับใช้แนวทางการปฏิบัติของหน่วยใช้กำลัง

        ตั้งแต่สถานการณ์ปกติจนถึงสถานการณ์ไม่ปกติ ตามมาตรา ๒๗ ใน พ.ร.บ. การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และ ในสถานการณ์วิกฤติจนถึงขั้นการป้องกันประเทศ ตามแผนป้องกันประเทศทางทะเลของกองทัพเรือ

ขอบเขตพื้นที่ปฏิบัติการที่บังคับใช้ในแนวปฏิบัติของหน่วยใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายและแสดงสิทธิอธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของไทยในพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

    ได้แก่ พื้นที่ทางทะเลตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖ และประกาศเขตพื้นที่ทางทะเลของไทยประกอบด้วย ๕ เขตทางทะเล ได้แก่ (๑) พื้นที่ทะเลบริเวณรอบเกาะกูดของไทยได้แก่ น่านน้ำภายใน,ทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง (๒) เขตเศรษฐกิจจำเพาะ และ (๓) เขตไหล่ทวีป




ภาพที่ ๑๐ ขอบเขตพื้นที่ปฏิบัติการที่บังคับใช้แนวทางการปฏิบัติของหน่วยใช้กำลังยึดถือตาม ตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖ (เส้นเขตไหล่ทวีปของไทยในแนวแบริ่ง ๒๑๑ จากหลักเขตที่ ๗๓)

ที่มา: เอกสารพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลของไทยและกัมพูชา,ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์กองทัพเรือ

แนวปฏิบัติของหน่วยใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายและการแสดงสิทธิอธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของไทยในพื้นที่ OCA

        ปฏิบัติงานในพื้นที่ OCA โดยใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายและการแสดงสิทธิอธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของไทยสนับสนุนแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานระดับนโยบายในการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ OCA ทั้งสามข้อข้างต้นโดยเฉพาะข้อ ๑ ยืนยันการใช้และการรักษาซึ่งอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยในเขตทางทะเลของไทย ตามที่รัฐบาลไทยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรื่องเขตไหล่ทวีปของไทยด้านอ่าวไทย    พ.ศ. ๒๕๑๖ และการยึดมั่นและแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยที่แจ้งไว้ตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย    ๕ ข้อ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ (UNCLOS 1982) และข้อ ๒ การเตรียมความพร้อมของกำลังทางเรือของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ OCA และการสร้างการตระหนักรู้เท่าทันสถานการณ์ทางทะเล(Maritime Domain Awareness :MDA) ติดตามทุกกิจกรรมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ OCA โดยใช้ระบบของศูนย์ยุทธการของ ศรชล. (ระบบ Big Data ที่เชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานใน ศรชล.) ร่วมกับระบบ MISS (Maritime Information Sharing System) ของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ ในการติดตามกิจกรรมของกำลังทางเรือกัมพูชาและการกระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ OCA อย่างต่อเนื่อง  สำหรับการป้องกัน แก้ไข และจัดการสถานการณ์อันส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเลได้ทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

แนวปฏิบัติของหน่วยใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายและการแสดงสิทธิ์อธิปไตย/อำนาจอธิปไตยของประเทศไทยในพื้นที่ OCA ประกอบด้วย ๒ ฉากทัศน์ ดังนี้

๑.        สถานการณ์ปกติยังไม่มีเหตุอันกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล

วัตถุประสงค์ ยืนยันอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยในเขตทางทะเลของไทยตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖และปฏิบัติตามจุดยืนของประเทศไทยตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย ๕ ข้อ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ (UNCLOS 1982)พร้อมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือสถานการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลกับกัมพูชาในพื้นที่ OCA และลดปัญหาการเข้ามามีอิทธิพลในอ่าวไทยของประเทศมหาอำนาจ

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

-    ระดับนโยบาย สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงการต่างประเทศ (กต.)       ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) กองทัพเรือ (ทร.)

-    ระดับปฏิบัติ (๑) ด้านการป้องกันประเทศและการบังคับใช้กฎหมาย: ศรชล. ทร. กองบังคับการตำรวจน้ำ และกรมศุลกากร   (๒) ด้านความปลอดภัย: กรมเจ้าท่า (จท.) (๓) ด้านการจัดการทรัพยากร: กรมประมง/ศูนย์ Fishery Monitoring Center กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ทร. และ ศรชล.(๔) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ : กต.และหน่วยงานรัฐที่มีกลไกความร่วมมือสำหรับการรักษาความมั่นคงและการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในอ่าวไทย

-    ระดับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่: ศรชล. ทร.และระดับจังหวัด

การดำเนินการ

(๑)      ด้านการป้องกันประเทศ ติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์ทางทะเลในพื้นที่ OCA        ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างต่อเนื่องตลอด ๒๔ ช..โดยให้มีการแลกเปลี่ยนระบบข่าวสารทางทะเลระหว่าง ศปก.ศรชล ศปก.ทร. กรมเจ้าท่า กรมประมง และให้กองทัพเรือวางกำลังลาดตระเวน และดำเนินมาตรการป้องปรามตามความเหมาะสมและความจำเป็นภายใต้กรอบของกฎหมายของไทยและกฎหมายระหว่างประเทศและสิทธิในการป้องกันตนเองของสหประชาชาติ เพื่อยืนยันการใช้และการรักษาซึ่งอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยในพื้นที่ทางทะเลของไทย ตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้าน     อ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖และปฏิบัติตามจุดยืนของประเทศไทยตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย ๕ ข้อ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ (UNCLOS 1982) 

(๒)      ด้านการบังคับใช้กฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การลาดตระเวนร่วมทางทะเล การฝึกร่วมกับประเทศที่มีเขตทางทะเลติดต่อกันและประเทศอื่น ๆ การป้องปรามจับกุมกับผู้กระทำผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด ติดตามเรือรบ และเรือผู้กระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ OCA และตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖ที่มีกิจกรรมในอ่าวไทย เพื่อ ติดตาม และป้องกันภัยคุกคามทางทะเล

(๓)      ด้านความปลอดภัยทางทะเล กำกับดูแลความปลอดภัยในการเดินเรือเข้า-ออกประเทศ 

(๔)      ด้านการจัดการทรัพยากร ในพื้นที่ OCA และตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖

-  ทรัพยากรมีชีวิต กำกับเรือประมงสัญชาติไทยไม่ให้ประกอบกิจกรรมเกินขอบเขตพิกัดตามกฎหมายว่าด้วยการประมงของไทยในกำหนดประกาศกำหนดไหล่ทวีปฯ รวมถึงการควบคุมและป้องกันไม่ให้เรือประมงต่างชาติรุกล้ำเข้ามาจับสัตว์น้ำในเขตการประมงไทย

-  ทรัพยากรไม่มีชีวิต ควบคุมไม่ให้มีการสำรวจ/ขุดเจาะบนไหล่ทวีป สร้างและใช้เกาะเทียม สิ่งติดตั้ง และก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ การสำรวจวิจัยวิทยาศาสตร์ทางทะเล และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรไม่มีชีวิตโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐ และกำหนดมาตรการ เงื่อนไข และควบคุมการวางสายเคเบิลและท่อใต้ทะเลของรัฐทั้งปวง ซึ่งอาจจะกระทบต่อสิทธิของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการอ้างสิทธิทับซ้อนกันในพื้นที่ OCA ตลอดจนการคุ้มครองและรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล

(๕)      ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สร้างเสริมความสัมพันธ์กับประเทศที่มีเขตทางทะเลติดต่อกันและประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีการดำเนินกิจกรรมในอ่าวไทยเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขความท้าทายต่อความมั่นคงปลอดภัยทางทะเลร่วมกันอย่างสันติ

สรุปแนวปฏิบัติของหน่วยใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายและการแสดงสิทธิ์อธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยในพื้นที่ OCA ตามแต่ละสถานการณ์การกระทำผิดกฎหมาย ดังนี้

พื้นที่ปฏิบัติการที่บังคับใช้แนวทางการปฏิบัติของหน่วยใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายและการแสดงสิทธิ์อธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของไทยในพื้นที่ OCA ตามแต่ละประเภทของสถานการณ์การกระทำผิดกฎหมาย ยึดถือตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖ ได้แก่ แนวเส้นเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยในแนวแบริ่ง ๒๑๑ จากหลักเขตที่ ๗๓ ประกอบด้วย น่านน้ำภายในทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่องรอบเกาะกูด ไปจนถึงเขตเศรษฐกิจจำเพาะ




 

"" อัปโหลดไม่สำเร็จ Invalid response: RpcError




๑.   สถานการณ์อันส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล

วัตถุประสงค์ ยืนยันการใช้และการรักษาซึ่งอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยในพื้นที่ทางทะเลของไทยตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖โดยเฉพาะการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย ๕ ข้อ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒  พร้อมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือสถานการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ส่งเสริมและบูรณาการความมั่นคงทุกมิติอย่างเป็นองค์รวม โดยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ภัยคุกคามทางทะเลในการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตย

แนวปฏิบัติ ให้หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อภัยแต่ละด้านตามตารางแนวทางการปฏิบัติของหน่วยใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายและการแสดงสิทธิ์อธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของไทยในพื้นที่ OCA ตามแต่ละประเภทของสถานการณ์การกระทำผิดกฎหมายข้างต้น ปฏิบัติตามกฎหมายของไทย และกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีที่เกี่ยวข้อง โดยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อสิทธิและอำนาจหน้าที่ในแต่ละเขตทางทะเล ทั้งนี้กลไกการจัดการสถานการณ์วิกฤติอันกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ของหน่วยงานทั้งระดับนโยบายจนถึงระดับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ OCA ให้มีการพิจารณามาตรการเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้

๑. กรณีซึ่งมีเหตุอันกระทบที่รุนแรงต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ OCA ให้หน่วยงานผู้ปฏิบัติดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจตามขอบเขตของกฎหมาย โดยพิจารณาใช้กลไกความร่วมมือระดับพื้นที่ในการแก้ไขสถานการณ์เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในระดับพื้นที่ ดังนี้

-       กรณีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ OCA ตาม ..บ การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (มาตรา ๒๗)  ให้ ศรชล.เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการบูรณาการหน่วยใช้กำลัง

-    กรณีที่เป็นเหตุการณ์ที่อาจจะส่งผลกระทบด้านความมั่นคงอย่างรุนแรงซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤตตามแผนป้องกันประเทศ ให้ ทร. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการบูรณาการหน่วยใช้กำลังตามอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๒๐ "กองทัพเรือมีหน้าที่เตรียมกำลังกองทัพเรือ การป้องกันราชอาณาจักร และดำเนินการเกี่ยวกับการใช้กำลังกองทัพเรือตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม มีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ" และทั้งสองกรณี ให้มีการรายงานผลมายังหน่วยงานระดับนโยบาย (กต. ทร. สมช. ศรชล.) เพื่อประชุมกำหนดท่าทีนโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาลไทยต่อไป

๒. กรณีสถานการณ์มีความซับซ้อนและรุนแรง เกินขอบเขตหน้าที่อำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานผู้ปฏิบัติ หรือจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้แจ้งข้อมูลต่อหน่วยงานระดับนโยบาย (กต. ทร. สมช. ศรชล.) เพื่อประชุมกำหนดท่าทีนโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาลไทยต่อไป

                              ๓. กรณีมีการใช้กำลังทางเรือของกัมพูชาในพื้นที่ OCA โดยมีเจตนาที่กระทบต่ออำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตย ความมั่นคงและผลประโยชน์ทางทะเลของไทยอย่างมีนัยสำคัญ ให้มีการพิจารณามาตรการทางการทูตและอื่นๆ เช่น มาตรการทางเศรษฐกิจและการทหาร เพื่อรักษาสิทธิอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยและเขตอำนาจของประเทศไทยตามกฎหมายและข้อสงวนสิทธิ์ของไทยตามประกาศแนบท้ายอนุสัญญา UNCLOS 1982และการปฏิบัติตามกฎการใช้กำลังของกำลังทางเรืออย่างเคร่งครัดในระดับที่เหมาะสม ได้สัดส่วนและจำเป็นเพื่อ     การดำรงความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมอาเซียน ทั้งนี้กรณีสถานการณ์มีความรุนแรงส่งผลกระทบต่อชีวิตทรัพย์สิน อำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตยของประเทสไทยอย่างรุนแรงการปฏิบัติจะยกระดับถึงขั้นต้องใช้แผนเผชิญเหตุ แผนป้องกันชายแดน และแผนป้องกันประเทศต่อไปซึ่งรัฐบาล กห. เหล่าทัพ กต. และทุกกระทรวงจะมีแผนรองรับไว้แล้ว  

     ๔. แนวปฏิบัติของหน่วยงาน/ผู้ปฏิบัติระดับพื้นที่: ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อภัยคุกคามแต่ละด้านตามตารางแนวทางการปฏิบัติของหน่วยใช้กำลังในการบังคับใช้กฎหมายและการแสดงสิทธิ์อธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของไทยในพื้นที่ OCA ตามแต่ละประเภทของสถานการณ์การกระทำผิดกฎหมายข้างต้น  ให้ยึดถือการปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายภายใน และกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี โดยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อสิทธิและอำนาจหน้าที่ในแต่ละเขตทางทะเลและยืนยันการใช้และการรักษาซึ่งอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยในเขตทางทะเลของไทย ตามที่รัฐบาลไทยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรื่องเขตไหล่ทวีปของไทยโดยเฉพาะการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย ๕ ข้อ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ และขับเคลื่อนความร่วมมือกับประเทศที่มีเขตทางทะเลติดต่อกันและประเทศอื่นซึ่งมีการดำเนินกิจกรรมในอ่าวไทย เพื่อการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของประเทศไทยอย่างสันติและยั่งยืน 

บทสรุป      

ปัญหาเรื่องเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา ประเทศกัมพูชาได้ประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ และประเทศไทยประกาศเขตไหล่ทวีป เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชาประมาณ ๒๖,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ซึ่งในพื้นที่ทับซ้อนคาดว่าจะมีแก็สธรรมชาติและน้ำมันดิบจำนวนมาก ซึ่งพลังงานเป็นต้นทุนของภาคเศรษฐกิจของประเทศ ในปี พ.. ๒๕๔๔ ทั้งไทยและกัมพูชาได้ลงนามกรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

นโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงทางทะเลเพื่อการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา ฉบับนี้ จัดทำขึ้นโดยพิจารณาจากยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเลและการปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีตลอดจนข้อผูกพันในฐานะของประเทศสมาชิกสหประชาชาติและประชาคมอาเซียนตลอดจนการส่งเสริมบทบาทและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในเวทีการเมืองระดับประเทศ โดยมีวิสัยทัศน์ตามแผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ.๒๕๖๖-พ.ศ.๒๕๗๐) ว่า ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในมิติความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พร้อมทั้งมีบทบาทสำคัญด้านความมั่นคงทางทะเล เป็นที่ยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ ด้วยการบูรณาการพลังอำนาจของชาติในทุกมิติโดยมีการสร้างเสริมความมั่นคงทางทะเลอย่างเป็นองค์รวม (Comprehensive security) ตามแนวคิดยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนในกรอบงานความมั่นคงของประชาคมอาเซียน ในการใช้ทะเลร่วมกันของทุกชาติอย่างสันติ โดยมีนโยบายและแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับกฎหมายภายในและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. ๑๙๘๒  เพื่อเป็นข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่ OCA และใช้ประกอบในการดำเนินนโยบายในการเจรจาแก้ปัญหากับประเทศกัมพูชาในเรื่องเขตแดนทางทะเลและการพัฒนาพื้นที่ร่วม(Joint Development Area)ตามกรอบบันทึกความเข้าใจ MOU 44 และข้อตกลงความร่วมมืออื่นๆ สรุปข้อเสนอแนวปฏิบัติเชิงนโยบายฯได้ดังนี้

๑.   ยืนยันการใช้และการรักษาซึ่งอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยในเขตทางทะเลของไทย ตามที่รัฐบาลไทยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรื่องเขตไหล่ทวีปของไทยด้านอ่าวไทย พ.ศ. ๒๕๑๖ และการยึดมั่นและแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยที่แจ้งไว้ตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย ๕ ข้อ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

๒.   เตรียมความพร้อมของกรอบนโยบายที่ชัดเจนในการเจรจาขับเคลื่อนการแก้ปัญหาในเวทีการประชุมระดับต่างๆ การประชุมของคณะกรรมการ JTC ในกลไก MOU44 และการเตรียมข้อมูลหลักฐานที่สำคัญเพื่อประกอบการเจรจาแก้ไขปัญหาของคณะผู้แทนรัฐบาลไทยในเวทีการเจรจากับกัมพูชา

๓.   เตรียมความพร้อมของกำลังของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ OCA และการสร้างการตระหนักรู้เท่าทันสถานการณ์ทางทะเล(Maritime Domain Awareness :MDA) เพื่อติดตามทุกกิจกรรมของกำลังทางเรือกัมพูชาและการกระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ OCA อย่างต่อเนื่องตลอด๒๔ ชม. โดยใช้ระบบ Big Data ของศูนย์ยุทธการของ ศรชล. ที่เชื่อมโยงกับระบบ MISS (Maritime Information Sharing System) ของศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ ระบบ FMC ของกรมประมง และระบบ VTMIS ของกรมเจ้าท่า โดยให้ ศรชล. เป็นหน่วยงานหลักระดับหน่วยปฏิบัติในการรับผิดชอบสรุปและวิเคราะห์สถานการณ์ทางทะเลในพื้นที่ OCA และให้ สมช.เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในระดับนโยบาย ในการวางแผนในการป้องกัน แก้ไข และจัดการสถานการณ์วิกฤติอันส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเลได้ทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

๔.   ขับเคลื่อนความร่วมมือกับประเทศที่มีเขตทางทะเลติดต่อกันและประเทศอื่น ๆ ซึ่งมีการดำเนินกิจกรรมในอ่าวไทย เพื่อการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างสันติ

๕.   แนวปฏิบัติของหน่วยงาน/ผู้ปฏิบัติระดับพื้นที่: ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อภัยคุกคามแต่ละด้าน ให้ยึดถือการปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายภายใน และกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี โดยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อสิทธิและอำนาจหน้าที่ในแต่ละเขตทางทะเลและยืนยันการใช้และการรักษาซึ่งอำนาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยในเขตทางทะเลของไทย ตามที่รัฐบาลไทยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรื่องเขตไหล่ทวีปของไทยโดยเฉพาะการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประเทศไทยตามข้อสงวนสิทธิ์ในประกาศแนบท้าย ๕ ข้อ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ และขับเคลื่อนความร่วมมือกับประเทศที่มีเขตทางทะเลติดต่อกันและประเทศอื่นซึ่งมีการดำเนินกิจกรรมในอ่าวไทย เพื่อการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเลของประเทศไทยอย่างสันติและยั่งยืน

 

บรรณานุกรม

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล,พระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.๒๕๖๒

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล,คู่มือการปฏิบัติงานด้านกฎหมาย.

สภาความมั่นคงแห่งชาติ,แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ.๒๕๖๕ ๒๕๗๐)

ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๒๔, หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๕

ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์กองทัพเรือ,เอกสารพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลของไทยและกัมพูชา,

พัลลภ ตมิศานนท์ , ปัญหาสำคัญเกี่ยวกับ OCAไทย-กัมพูชา และแนวทางแก้ไข,

สุรเกียรติ์ เสถียรไทย,กฎหมายและผลประโยชน์ของไทยในอ่าวไทย : กรณีศึกษาบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา เรื่องการเจรจาสิทธิในอ่าวไทย,หอสมุดรัฐสภา.

สุรเกียรติ์ เสถียรไทย , พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา,จุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ฉบับที่ ๙๒,

ประจิตต์ โรจนพฤกษ์ , การบอกเลิกบันทึกความเข้าใจ พ.ศ. 2544 (MOU 2544) เกี่ยวกับเขตทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาหรือไม่ , บทความเผยแพร่คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา เดือนธันวาคม ๒๕๕๔.

ถนอม เจริญลาภ,เขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา อำนาจอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด,หอสมุดรัฐสภา.

 ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ,การอ้างสิทธิไหล่ทวีปในอ่าวไทยระหว่างไทย-กัมพูชา:

              โอกาสและความท้าทายจาก อดีต ถึง ปัจจุบัน

สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ,แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐)

พิสุทธิ์ศักดิ์ ศรีชุมพล, อาณาเขตทางทะเล (Maritime Zone) กับความมั่นคงของชาติ (National Security) (Online).Available: https://ache-pko.blogspot.com/2022/

อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (United Nations Convention on the Law of the Sea 1982).

               กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (Online). Available: https://treaties.mfa.go.th

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ วุฒิสภา (Online).Available: https://www.senate.go.th/

Samharn Dairairam (2015).  Do Solutions to International  Security  Issues of Poorly Defined Maritime Boundaries Require Legal, Political, and Technical Tools, The Nippon Foundation of Japan.

Pisutsak Sreechumpol (2015), ASEAN: Maritime Security for the 21st Century , National Defense University of PLA.

Robert D. Kaplan (2012), The Revenge of Geography, Random House Publishing Group.

Tim Marshall ,Prisoners of Geography (2016), Elliott & Thompson Limited.

Geoffrey Till (2022), Grey Zone Operations: The Rules of the Game:  (Online). Available:

https://rsis.edu.sg/wp-content/uploads/2022/04/IP22024.pdf.

S. Rajaratnam School of International Studies (2025), Evolving Threats to Southeast Asia’s Maritime Security:

(Online). Available: https://amti.csis.org/evolving-threats-to-southeast-asias-maritime-security/

 

"" อัปโหลดไม่สำเร็จ Invalid response: RpcError



บทความล่าสุดที่เผยแพร่

การรักษาความมั่นคงทางทะเลเพื่อการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติใน พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา

ภาพที่ ๑ การประกาศเขตไหล่ทวีปของไทยกับกัมพูชาที่แตกต่างกันทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ที่มาแผนที่ : ๑ > ราชกิจจานุเบกษา เล่ม๙๐ ตอนที่ ...

บทความที่ได้รับความนิยม